Thursday, February 12, 2009

ศรัทธา หรือ งมงาย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกรณีที่มีประชาชนจำนวนมากเีีบียดเสียดเยียดยัดกันเพื่อจับจอง (เช่า) วัตถุมงคลที่ำกำลังได้รับการนับถือในวงกว้างอยู่ในขณะนี้ แต่ว่าก็เป็นที่น่าเสียใจว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผมสะท้อนใจถึงอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะคำถามที่ว่าอะไรกันแน่ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจของคนไทย (บางกลุ่มซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นสัดส่วนที่มากขนาดไหน) เรื่องความเชื่อความศรัทธาต่อพลังเหนือธรรมชาิติเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน และเป็นเหมือนวิถีชีวิตสำหรับคนไทยไปแล้ว

สำหรับเรื่องบางอย่างผมก็ยังคงหาคำอธิบายไม่ได้ และผมก็คิดว่าไม่มีใครถูกหรือผิดที่่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ และก็เช่นกัน ไม่มีใครโง่หรือฉลาดที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ สำหรับผมเองก็ยอมรับว่ามีความศรัทธากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบางแง่มุม ซึ่งจะอธิบายต่อไปว่ามีสาเหตุเนื่องจากอะไร และผมก็เป็นคนหนึ่งที่บนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้ผลสำเร็จบางอย่างที่ต้องการ นับตั้งแต่ตอนสอบเข้า ม.1 สอบเข้ามหาลัย หรืออย่างเร็วๆ นี้ก็คือสอบ Qualify

ทำไมผมถึงบนบานเพื่อขอสิ่งที่ต้องการ อย่างแรกที่ผมอยากอธิบาย คือ ผมคิดว่าโลกนี้มีสิ่งสองสิ่งที่เราควรแยกแยะให้ออก คือ สิ่งที่เราควบคุมได้ และสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ สำหรับการสอบสิ่งที่เราควบคุมได้ คือ การอ่านหนังสือ การตั้งสติ มีสมาธิในการสอบ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่มีคนไหนที่จะสอบผ่านได้หรือเรียนจบได้โดยไม่อ่านหนังสือหรือทำงาน

แล้วทำไมผมถึงบนบานล่ะในเมื่อผมรู้ว่าปัจจัยหลักที่ทำให้สอบผ่านหรือไม่ผ่านอยู่ที่ตัวของเราเอง แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้ หรืออยู่ในความควบคุมของคนอื่น หรือธรรมชาิติ หรือกล่าวง่่ายๆ ก็ คือ เหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งเราก็คงเคยได้ยินคำกล่าวประมาณว่าโชคไม่ดี เช่นว่าไปสอบไม่ได้เพราะฝนตกน้ำท่วม ฟ้าผ่า รถติดมหากาฬจากอุบัิติเหตุ

แน่นอนเมื่อสิ่งเหล่านั้นผมควบคุมไม่ได้ ผมซึ่งอาจจิตใจไม่เข้มแข็งพอจึงต้องหาที่พึ่งทางใจจากผลของปัจจัยภายนอกดังกล่าว เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพนับถือช่วยให้สิ่งต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี แต่อย่างไรก็ตามผมไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ว่าหากทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอุปสรรคที่เหนือจากการควบคุมเข้ามา ผมก็รู้สึกสำนึกบุญคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทำตามที่บนบานศาลกล่าวไว้ สำหรับผมแล้วเชื่อว่าการบนบานศาลกล่าวไม่ได้มีผลเสียแต่อย่างใด ตราบใดที่เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และสามารถตัดความกังวลจากเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้เพื่อให้ใจของเราสงบ

ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เราจะแยกแยะได้อย่างไรว่าเรื่องไหนอยู่นอกหนือการควบคุมของเรา เท่าที่ำจำได้จากการอ่านหนังสือเรื่อง “วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข” ของเดลล์ คาร์เนกี มีบทหนึ่งซึ่งกล่าวถึงบุคคลท่านหนึ่งที่มีหลักในการใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลอยู่สามข้อ คือ หนึ่ง ให้ข้าพเจ้าทำสิ่งที่สามารถทำไ้ด้ให้ดีทีุ่สุด สอง ขอให้ข้าพเจ้าไม่กังวลต่อสิ่งที่อยู่เหนือความควบคุมของข้าพเจ้า และข้อสาม คือ ขอให้ข้าพเจ้ามีความฉลาดเพียงพอที่จะแยกแยะทั้งสองสิ่งนี้ออกจากกัน ถ้าบนบานแล้วให้ผลทางด้านจิตวิทยาที่ดีแล้วก็ทำไปเถอะ แต่อย่าลืมทำหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

สำหรับปัญหาที่ผมสังเกตเห็นได้จากคนไทยบางกลุ่มก็ คือ การไม่แยกแยะและไม่พยายามทำหน้าที่ของตนเองในสิ่งที่ควบคุมได้ให้ดีที่สุด เช่น การบ้าหวย งมงายไม่ตั้งใจทำงาน ทำเสน่ห์ (ซึ่งหลายรายก็เสร็จหมอทำเสน่ห์ ซึ่งพิสูจนได้ว่าได้ผลจริงๆ เพราะหมอทำเสน่ห์ยังห้ามใจไม่อยู่) เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะไทยรัฐ นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการบูชาสิ่งประหลาดต่างๆ

สำหรับผมแล้วการที่มีบางคนกล่าวว่าชาวบ้านพวกนี้โง่ ไร้การศึกษานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มันอยู่ที่ลักษณะสังคมที่เราอยู่ ชาวบ้านที่อยู่ในสังคมชนบทมักมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งอาจโดนคนที่อยู่ในสังคมเมืองดูถูก แต่ถ้าผมจะยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ เนสซี หรือบิกฟุิต จะเรียกว่างมงายหรือเปล่า การเสพย์ติดหรือความเชื่อของคนต่างระดับสังคมนั้นมันก็ต่างกันไป ต่างคนก็เสพย์ติดกันไปคนละสิ่ง คนละรูปแบบ

แล้วจะโทษใครดี สำหรับผมคิดว่ากลุ่มคนที่น่าจะรับผิดชอบก็คือ กระทรวงศึกษา รวมถึงวัดและโรงเรียน กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ถ้ากลุ่มผู้รับผิดชอบต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อประชาชนในชุมชน แล้วเขาจะเอาอะไรมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่่เชื่อในสิ่งต่างๆ ผมคิดว่าคนเราถ้าได้รับข้อมูลเพียงพอก็น่าจะตัดสินใจอะไรได้สมเหตุผลขึ้น

สำหรับผมแล้วการนับถือหรือศรัทธาต่อสิ่งเหนือธรรมชาติของคนไทย ก็มีแง่บวกหลายประการ แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ศึกษาและทำตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา (ที่แท้จริง) ซึ่งถ้าทั้งสองข้อเป็นจริง (โดยเฉพาะข้อสองเพราะว่าถ้ารู้ชัดว่าศาสนาพุทธสอนอะไรปัญหาพวกนี้คงไม่เกิด) ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง และแม้จะไม่เข้าใจศาสนาพุทธอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคนที่แขวนพระแต่ไม่สนใจพระธรรม ถ้าการแขวนพระทำเพื่อเตือนใจไม่ให้ทำความชั่ว ไม่ประมาท ผมว่าทุกคนก็คงได้รับแต่สิ่งดีๆ แน่นอน หรือแม้ไม่แขวนแต่มีพระมีธรรมะอยู่ในใจ ไปที่ไหนก็คงแคล้วคลาด บางทีกุศโลบายเรื่องความเชื่อนี้อาจทำเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวต่อการทำชั่ว มีสติ เมื่อคิดดีก็ย่อมมีกำลังใจที่ดี แต่ว่าบางคนก็ไปยึดติดกับกุศโลบายทั้งที่มันเป็นเปลือก ไ่ม่ใช่แก่น

บางคนก็อาจถามว่าเราสวดมนต์ไปเพื่ออะไร สวดไปใครจะได้ยิน ผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่จากประสบการณ์ก็คือ การสวดมนต์ทำให้ใจสงบ เมื่อใจสงบก็ย่อมจะแก้ัปัญหาหรือคิดอะไรได้กระจ่างขึ้น และก็เคยอ่านเจอในพันทิปซึ่งมีคนเขียนตอบกระทู้ในเชิงประชดประชันว่าหน้ากระทรวงวิทย์ฯ ยังมีศาลพระภูมิ ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหาย โดยเฉพาะถ้าการมีอยู่ของศาลพระภูมิอาจทำให้คนที่นั่นที่คิดจะทำไม่ดีมีความยับยั้งชั่งใจที่ไม่ทำสิ่งชั่วหรือตั้งใจทำงาน ผมก็คิดว่ามันเพียงพอที่จะทำให้ผมยกมือไหว้ท่่านอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจแล้ว

ผมคิดว่าจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะถ้าไม่ทำให้ตัวเอง ครอบครัว และคนอื่นเดือดร้อน ศรัทธาแต่อย่างมงาย ศึกษาธรรมะให้ดีว่าสอนอะไรบ้าง และที่สำคัญถ้าเชื่อในเครื่องรางของขลังก็ควรจะเป็นคนดีด้วย เพราะสำหรับผมไม่น่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนที่คุ้มครองคนชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ศาสนาพุทธสอนไว้อย่างชัดเจน

(เขียนเมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๐)

No comments:

Post a Comment