Thursday, February 12, 2009

พิธีกรรม หรือ คำสอน

ช่วงหลายอาิทิตย์ที่ผ่านมาได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายข่าว แต่ข่าวที่ทำใ้ห้ผมเศร้าใจมากที่สุดก็คือ การมรณภาพของหลวงพ่อปัญญา แ้ม้ผมจะไม่ได้ศึกษาคำสอนของท่านอย่างจริงจัง แต่ก็พอที่จะได้อ่านหนังสือและฟังที่่่ท่านเทศน์บ้าง ท่านเป็นพระที่ทำเพื่อพระพุทธศาสนามาตลอดอายุของท่าน

เมื่อต้นปีก็ได้ดูรายการค้นค้นคน ซึ่งก็นำชีวิตของหลวงพ่อปัญญามานำเสนอ ท่านแม้จะมีอายุถึง 96 ปี แต่ท่านก็ยังทำกิจของสงฆ์ที่เป็นประโยชน์เท่าที่สุขภาพของท่านจะอำนวย เรียกว่าท่านมีเวลาเมื่อไหร่ก็จะต้องทำภารกิจที่สำคัญคือ ทำให้คนไทยหาย “โง่” โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาพระพุทธศาสนา

เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อปัญญา พระสงฆ์อีกรูปที่พยายามตลอดชีวิตของท่านในการสั่งสอนให้คนพ้นจากความโง่เขลาก็คือ ท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งผมได้ดูคลิป “เมื่อพุทธทาสคืนสู่ธรรมชาติ” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บ http://www.buddhadasa.in.th/ (ในเวบนี้มีคำสอนของท่านให้ดาวน์โหลดด้วย) ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านได้ทำพินัยกรรมให้จัดงานศพของท่านอย่างเรียบง่ายที่สุด เพื่อสั่งสอนทุกๆ คนถึงสัจธรรมของชีวิต เรื่องความตาย และให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างเพียงพอและเรียบง่าย งานศพของท่านก็เป็นเพียงการเผาศพบนตะแกรงเหล็ก ไม่มีพิธีรีตองที่วุ่นวาย เป็นการกลับไปสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง

ในช่วงปี 2536-2537 เป็นช่วงที่ฟองสบู่ของเศรษฐกิจไทยพองโตถึงขีดสุด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงที่สุดที่ 1,600 กว่าจุด (ในปัจจุบันดัชนีก็อยู่ประมาณ 800 กว่าจุด) เป็นช่วงที่ไม่ว่าจะทำอะไร ขายอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด คำสอนของท่านที่ให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเรียบง่าย ก็คงเป็นคำสอนเบาๆ ที่ผ่านหูผู้คนไป จนคนบางส่วนเริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า “พอเพียง” จนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และฟองสบู่ที่พองโตนั้นแตกเมื่อปี 2540 นั่นเอง

ทั้งท่านพุทธทาสและหลวงพ่อปัญญา ซึ่งทั้งสองเป็นสหายธรรมในการเผยแผ่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ให้คนพ้นจากความโง่เขลา ท่านทั้งสองสอนคนให้รู้จักการศึกษาทางจิตซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่สอนให้คนเชื่อถือทางไสยศาสตร์เพราะว่ามันไม่ใช่แนวทางแห่งการดับทุกข์

จากการที่ได้ศึกษาประวัติของท่านพุทธทาส ท่านเป็นคนที่กล้าหาญในการที่สั่งสอนให้คนรู้ถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เนื่องจากไม่ได้มีการสอนมาในอดีต เพราะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งในการอธิบายให้คนทั่วไปได้เข้าใจ การสอนที่รูปแบบที่แตกต่างจากพระรูปอื่นของท่าน ทำให้ครั้งหนึ่งท่านโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งข้อหาดังกล่าวก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำลายบุคคลดีๆ ไปหลายท่าน

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสะท้อนใจเมื่อได้อ่านประวัติของท่านพระพุทธทาสก็คือ ท่านได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม ในกรุงเทพฯ (เมื่อประมาณ 70-80 ปีก่อน) ซึ่งทำให้ท่่านถึงกับท้อแท้ใจในการเป็นพระสงฆ์เพราะว่าเหล่าสงฆ์ในกรุงเทพฯ ต่างยึดติดอยู่ในลาภยศสรรเสริญ ทำให้ท่านตัดสินใจกลับบ้านและศึกษาหลักคำสอนจากพระไตรปิฎกด้วนตนเอง เพื่อค้นหาหลักธรรมที่แท้จริงจากพระโอถฐ์ของพระพุทธเจ้า

(ข้อความต่อจากนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ได้ใช้หลักคำสอนบางอย่างมาใช้แก้ปัญหาชีวิตในยามทุกข์)
แม้ว่าในประเทศไทยจะมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ทำไมจึงได้มีปรากฎการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้ใช้หลักการทางพุทธศาสนา ในการแ้ก้ปัญหาชีวิตเลย อย่างเช่น การนับถือเทพ (ซึ่งแท้จริงคือแนวคิดของศาสนาพราหมณ์) การงมงายในสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ ทุกอย่างสามารถอธิบายได้โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การนับถือฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า กล้วยสองเครือ หมาสองหัว มันเป็นเรื่องของมนุษย์ในยุคก่อนการกำเนิดของศาสนาเสียด้วยซ้ำ

เป็นไปได้ไหมว่าการที่คนไทยนับถือพุทธอย่างพวกเรา ไม่ได้รับการสั่งสอนให้เข้าถึงหลักการทางพุทธศาสนาอย่างแท้จริง การสอนพุทธศาสนาในโรงเรียนที่ผมประสบมาก็คือ การให้สวดมนต์ให้ได้ ท่องศีล จำให้ได้ว่ามรรคแปดมีอะไรบ้าง แม้แต่การสอนของพระก็ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดที่ลึกซึ้งให้คนสามารถเข้าถึงกระบวนการทำงานของจิตใจ กระบวนการที่ทำให้เกิดทุกข์

กิจกรรมที่มีกับวัดส่วนใหญ่จึงอยู่ในรูปแบบของพิธีกรรม ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนาพราหมณ์ จริงอยู่การที่มีพิธีกรรมที่น่าเชื่อถือน่าเกรงขาม สามารถที่จะดึงคนทั่วๆ ไป (รวมถึงผม) ที่มีจิตใจอ่อนแอ และมีแนวโน้มที่จะนับถือสิ่งเหนือธรรมชาิติ ให้เข้ามาอยู่ในร่มเงาของศาสนาพุทธซึ่งมีคำสอนที่มีประโยชน์ และดับทุกข์ได้

แต่พอเวลาผ่านไปเหมือนกับว่าพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้มีบทบาทเหนือและบดบัง คำสอนในศาสนาพุทธไปจนหมด ศาสนาพุทธกลายเป็นเหมือนยาแก้ปวด ถ้าปวดหัวเมื่อไหร่ก็กินยา มีปัญหาเมื่อไหร่ก็ไปวัดไปทำบุญ ไปคุยกับพระ มีทุกข์มากๆ ก็ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้แก้ปัญหาชีวิตได้ แต่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา เสมือนกับการสอนให้รักษาสุขภาพ รู้จักติดตามดูแลอาการของร่างกาย ทำให้เราสามารถดูแลรักษาจิตได้ด้วยตัวเอง ยาแก้ปวดหัวก็เป็นส่วนที่สำคัญในการรักษา แต่มันเป็นสิ่งที่กดอาการปวดเท่านั้นเอง มันไม่ได้ไปรักษาต้นเหตุของการปวดหัวนั้น

เมื่อสิ่งยึดเหนี่ยวใจของพุทธศาสนิกชนไม่ใช่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า บทบาทของพิธีกรรม เทพเจ้า และไสยศาสตร์ ก็มีมากขึ้น จากพิธีกรรมที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้คนหันมาเข้าหาศาสนา กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาติหาริย์ ท่านออกบวชค้นหาความจริงเพื่อนำมาสั่งสอนให้คนหลุดพ้นจากการยึดติดสิ่งเหล่านี้ แต่พระสงฆ์ บางส่วนกลับสั่งสอนให้คนหันไปยึุดติดกับเรื่องไสยศาสตร์แทน เหมือนย้อนกลับไปสู่ยุคหินอีกครั้ง

จริงอยู่หลักธรรมของพระพุทธศาสนานั้นลึกซึ้ง ยากแก่การอธิบาย และอาจมีพระสงฆ์ไม่มากที่สามารถกลั่นกรองและถ่ายทอดให้คนเข้าใจได้ แต่พระสงฆ์บางส่วนที่ไม่สามารถทำให้คน “ฉลาด” ขึ้น ก็ไม่ควรทำให้คน “โง่” ลง ด้วยการสอนสิ่งที่ขัดกับหลักพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังอาศัยความอ่อนแอทางจิตใจของคนมาเป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก ท่านปัญญาฯ ได้สอนว่า พระบางส่วนทำให้คนโง่ลงด้วยการปลุกเสกพระเครื่อง ใบ้หวย ไม่ควรไปนับถือ (หลังจากที่ท่านมรณภาพก็มีข่าวที่ผมฟังแล้วสลดใจก็คือ มีคนหาซื้อหวยเลขท้ายอายุของท่าน และก็มีสื่อเลวๆ นำมา่ถ่ายทอด ทั้งที่ท่านปัญญาฯ ท่านต่อต้านการใบ้หวยมาตลอด)

จากความรู้สึกส่วนตัวของผม เราเหมือนจะนับถือศาสนาพราหมณ์มากกว่าพุทธศาสนาเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างอาศัยพิธีกรรม เพื่อสร้างความศรัทธาให้กับคน จริงอยู่ที่พิธีกรรมสามารถนำคนหมู่มากมารวมกันได้เพื่อเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง การใช้คำว่า “บุญ” หรือ “บาป” มาชักจูงคนก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่มันไม่ได้เ็ป็นการพัฒนากลไกความคิดในการแก้ปัญหาเพื่อการพ้นทุกข์เลย พิธีกรรมมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่หลักการสูงสุดของพุทธศาสนา เมื่อคนเข้าใจพุทธศาสนาเขาก็จะเลือกทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศลไปโดยอัตโนมัติ

ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับที่เขียนมาหรือเปล่า แต่ในความคิดของผม “การปกครองคนโง่ย่อมง่ายกว่าการปกครองคนฉลาด”

ปล. อีกข่าวที่ทำให้ผมสลดใจก็คือการประท้วงของพระต่อภาพวาด “ภิกษุสันดานกา” ซึ่งก็มองกันได้หลายมุม แต่มุึมของผมคือ “ถ้าเราส่องกระจกแล้ว เราไม่หล่อ เราควรโทษตัวเองหรือกระจก” และก็ีมีความคิดเห็นขำๆ จากข่าวก็คือ พวกกาควรจะไปประท้้วงบ้างเพราะว่าเป็นการดูหมิ่นกาอย่างมากในการเอาไปเปรียบเทียบกับพระเลวๆ

(เขียนเมื่อ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๒)

No comments:

Post a Comment