Thursday, February 12, 2009

เป็นหวัด ร้อนใน และใจเหงา

ช่วงนี้เป็นหวัดครับ สงสัยจะเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (และมาก) จากวันที่หิมะตกอุณหภูมิ -2 องศาเซลเซียส มาเป็น 20 องศาเซลเซียสภายในสองสามวัน เรียกว่าจากเย็นโคตรมาเป็นอุ่น สำหรับผมตอนนี้อุณหภูมิประมาณสิบกว่าองศาก็รู้สึกอุ่นจนถึงร้อนแล้ว ไม่ได้กระแดะหรืออะไร ถ้าไปเมืองนอกปีสองปีแล้วกลับมาพูดไทยไม่ชัดค่อยว่าผมกระแดะแล้วกัน :p

(คิดว่าคำว่ากระแดะน่าจะใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนะครับ แต่เห็นคนใช้กับผู้หญิงซะเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับชายแท้บางคนก็สามารถใช้กับคำนี้ได้เหมือนกัน จากพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ: กระแดะ (ปาก) ก. ดัดจริต, ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ (พอลองหาคำว่าดัดจริตต่อ) ดัดจริต ก. แสร้งทํากิริยาหรือวาจาให้เกินควร.)

ก็ไม่ได้เป็นหวัดอะไรมากมาย เป็นแนวหวัดน่ารำคาญมากกว่า มีน้ำมูกไหล และจามบ้างนิดหน่อย สามารถทำงานทำการได้ตามปกติ แต่ต้องคอยเอาทิชชูมาสั่งน้ำมูกบ้างเป็นระยะๆ จามเป็นบางที จนเพื่อนในออฟฟิสต้องบอก Bless you ซะหลายครั้ง ไม่รู้ถ้าจามบ่อยกว่านี้มันจะบอกคำอื่นหรือเปล่า

พอเป็นหวัดแบบเบาๆ ผมจะไม่ค่อยทานยาเท่าไหร่ เพราะยาแก้หวัดส่วนใหญ่ทานแล้วมันจะง่วง ก็เลยเหมารวมไปว่ายาแก้หวัดแทบทุกชนิดทานแล้วง่วง ยาที่ทานแล้วไม่ง่วงก็มี พึ่งรู้จากแม่ว่ายาแก้หวัดที่ทานประจำที่บ้าน ทานแล้วไ่ม่ง่วง แต่ด้วยอุปาทาน ที่ผ่านมาผมจะรู้สึกง่วงทุกครั้งหลังทานยาตัวนั้นทุกที จนพอรู้ว่ามันทานแล้วไม่ง่วงความรู้สึกง่วงหลังทานยาก็หายไปทันที ถ้าให้แปลงคำพูดของไอสไตน์ให้เท่ห์ๆ ก็จะพูดว่า “อุปาทาน (เกือบ) สำคัญกว่าความรู้” ซึ่งหลายๆ คนในสังคมก็เป็นกันเยอะ เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป ที่คนใช้อุปาทานหรือความเชื่อชักนำชีวิต

พอเป็นหวัดเบาๆ แนวทางในการเยียวยาของผมทางหนึ่งก็คือ ดื่มน้ำมาก น้ำเปล่านี่แหละครับดีต่อสุขภาพที่สุด การดื่มน้ำมากๆ นอกจากจะช่วยระบายของเสียแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งโต๊ะนานด้วย เพราะว่าเมื่อทานน้ำมากๆ ก็ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นการยืดเส้นยืดสายไปในตัว นอกจากนั้นยังต้องลุกไปเติมน้ำบ่อยๆ อีกด้วย

อีกแนวทางหนึ่งก็คือ การทานวิตะมินซีเยอะ ทานส้มได้จะดีที่สุดเพราะมีกากอาหารด้วย ทานน้ำส้มก็จะดีรองลงมา อีกวิธีที่พอจะรับได้ก็คือการทานวิตะมินซีเม็ด ระยะหลังนี่ผมทานวิตะมินเม็ดบ่อยขึ้นครับ เนื่องด้วยกลัวว่าอาหารที่กินทุกวันอาจให้วิตะมินซีไม่เพียงพอ (บางทีเป็นอุปาทานเช่นกัน) บทเรียนที่ได้จากการซื้อวิตะมินซีเม็ดก็คือ ต้องเลือกแบบ Chewable ซึ่งจะมีรสชาติชวนทานกว่าเยอะ ตอนแรกซื้อแบบปกติมาแล้วก็เอาอม ปรากฎว่ามีแต่รสเปรี้ยวเหมือนทานกรดเปล่าๆ ต้องกลืนไปเลย พอซื้อแบบ Chewable มาก็ดีขึ้นเยอะอมไปเรื่อยๆ ได้ แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องซื้อวิตะมินของเด็กที่เป็นเยลลี่มากินเพราะอาจหมดเร็วได้
พอดีไปเห็นฉลากวิตะมินซีที่กินอยู่ มันเขียนอะไรแปลกๆ ว่า Acerola C ก็เลยไปค้นดูปรากฎว่า Acerola มันคือเชอรี่ชนิดหนึ่งคล้ายๆ เชอรี่ของไทยที่ลูกเล็กๆ เปรี้ยวๆ (หนอนเยอะๆ) พอไปอ่านส่วนประกอบก็พบว่ามี Rose Hips ซึ่งมันคือลูกของกุหลาบ แปลกดีเหมือนกันครับว่าวิตะมินซีนอกจากที่มาจากการสังเคราะห์แล้ว ก็มาจากพืชที่เราคาดไม่ถึงด้วย





การเป็นหวัดที่แย่ที่สุดคือ มีอาการปวดหัวและเจ็บคอพ่วงมาด้วย แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ การเป็นแผลร้อนในในปากที่เป็นอาการแทรกซ้อนในบางครั้ง



ผมเป็นคนที่เบื่อแผลร้อนในมาก บางทีมันก็เกิดจากท้องผูก นอนดึก เครียด บางที่มันก็เกิดขึ้นดื้อๆ โดยไม่รู้สาเหตุ แต่ที่เจ็บใจมากกว่านั้นก็คือที่เกิดจากการเอาแปรงสีฟันไปกระแทกเหงือก ซึ่งพี่ชายก็เตือนหลายครั้งแล้วว่า แปรงฟันไม่ต้องแปรงแรงก็สะอาดได้ แปรงแรงๆ เหงือกจะ่ร่น แต่เนื่องด้วยการแปรงฟันบางครั้งเกิดความมันส์ในอารมณ์ก็จะถูไปถูมาอย่างเมามัน แต่บางทีก็พลาดเหมือนรถไฟตกราง แปรงหลุดจากฟันไปกระแทกเหงือกจนเป็นแผล

แผลร้อนในเป็นแผลที่ไม่รุนแรง แต่น่ารำคาญ ทานอะไรรสจัดก็ไม่ค่อยได้ แปรงฟันทีน้ำตาก็แทบไหล ผมจึงต้องมียาทาแก้ร้อนในติดตู้เย็นไว้ตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือ พอไปคิดถึงมันเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าแผลมันไม่หายซะที แต่อยู่ดีๆ มันก็หายไปซะเฉยๆ จนผมไม่รู้ตัว

แล้วการเป็นหวัดกับร้อนในมันเกี่ยวอะไรกับความเหงา ...
ได้ยินมาว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดมันอยู่กับร่างกายเราตลอดเวลา พอวันใดที่ร่างกายเราอ่อนแอมันก็จะออกมาสำแดงฤทธิ์เดช เหมือนจะคอยเตือนให้ดูแลร่างกายบ้าง ก่อนที่โรคภัยที่หนักหนาสาหัสกว่านี้จะมาถามหา แผลร้อนในก็เหมือนกัน วันใดที่ร่างการขาดสมดุล มันก็จะโผล่ออกมาให้เรารำคาญเล่น แล้วก็หายไปซะเฉยๆ

ผมว่าความเหงามันก็อยู่ในตัวเราทุกคนเหมือนกัน บางทีมันก็โผล่ออกมาตอนเราเผลอๆ ที่สำคัญมันจะค่อยๆ โผล่ออกมาตอนจิตใจเราอ่อนแอเหมือนโรคหวัดและแผลร้อนในไม่มีผิด หรือบางทีก็เกิดอาการเหงาแบบเฉียบพลันจากความกระทบกระเทือนทางใจ เช่น ทะเลาะกับเพื่อน เลิกกับแฟน จากบ้านมาไกล หรืออกหัก ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากหวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เดินตากฝนทั้งวัน หรือแผลร้อนในที่เกิดจากการเอาแปรงสีฟันกระแทกปาก

ความเหงาก็เหมือนกับไวรัสโรคหวัด ซึ่งเราต้องอยู่กับมันไปเรื่อยๆ รักษาได้ แต่ไม่หายขาด คงต้องดูแลรักษาจิตใจของเราให้แข็งแรงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันใดมันออกอาการออกมา ก็ต้องรักษามันอย่างถูกต้อง
แนวทางการรักษาความเหงา มันก็ต่างกับโรคหวัดและแผลร้อนใน การรักษาความเหงาที่ดีที่สุด คือ การทำตัวให้ไม่เหงา ซึ่งเป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดินจนเลือดออกซิบๆ สำหรับผมก็คือหาอะไรทำ ให้ใจมันวุ่นๆ จนลืมไปเลยว่ากำลังเหงาอยู่ แล้วมันก็จะหายไปเหมือนกับแผลร้อนในซึ่งอยู่ดีๆ ก็หายไปโดยไม่บอกกล่าว เวลาที่เราไม่ใส่ใจมัน

ข้อควรระวังของการรักษาความเหงาก็คือ บางวิธีที่ใช้รักษาความเหงา อาจเกิดผลข้างเคียงไปที่ทำให้ชีวิตเราต้องวุ่นไปอีกหลายปีก็ได้ เพราะจิตใจในช่วงที่เหงาจะอ่อนแอ ทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะ เอ้ย ไม่ใช่ ความสามารถตัดสินใจลดลงได้

ปล. ได้อ่านกระทู้จากพันทิป ห้องหว้ากอ มีคนมาตั้งกระทู้ขอให้ช่วยแนะนำประโยคที่พูดยากๆ ไว้ฝึกพูดเพื่อหัดออกเสียง ก็เลยถามว่ามีประโยคอะไรที่พูดยากๆ บ้าง
ก็มีคนตอบหลายคน เช่น “ทหารถือปืีน แบกปูนไปโบกตึก” “เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด”
แต่ก็มีคนนึงตอบแนวที่มีกลิ่นน้ำเน่าโชยมาว่า ... “ผมรักคุณ”


(เขียนเมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๕๑)

No comments:

Post a Comment