Thursday, February 19, 2009

Playboy กำลังลำบาก

จากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในปัจจุบัน กิจการแทบทุกประเภทได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน รวมไปถึง Playboy ซึ่งเป็นกิจการด้านความบันเทิงชื่อดังของอเมริกา โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีผ่านมาขาดทุนไปถึง 146 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากรายได้หลักจากนิตยสาร รายการโทรทัศน์ และเสื้อผ้าเครื่องประดับ ได้ลดลงอย่างมาก ซึ่ง CEO คนปัจจุบันซึ่งเป็นลูกสาวของคุณลุง Hugh Hefner กำลังพิจารณาว่าจะขายกิจการซึ่งมีอายุยืนยาวมาถึง 55 ปี หรือไม่

ไม่รู้ว่าจากผลประกอบการที่ตกต่ำจะทำให้ลุง Hugh ลดปริมาณสาวๆ นับสิบในคฤหาสน์ของแกลงหรือเปล่า เพราะแค่คนสองคนก็ทำให้หนุ่มๆ ทั่วโลกตาร้อนกันแล้ว

(ที่มา The Wall Street Journal, February 19, 2009)

Tuesday, February 17, 2009

ประตูสำหรับคนพิการ

หากเราเคยสังเกตฟุตบาทในกรุงเทพฯ จะพบว่าจะมีแผ่นพื้นสำเร็จที่ปูพื้นที่มีลักษณะเป็นปุ่มกลมๆ นูนขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสีเหลือง ซึ่งพื้นปูแบบนี้ผมก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่ามันใช้สำหรับคนตาบอดที่จะสัมผัสเวลาเหยียบเพื่อให้รู้ว่าเดินอยู่บนทางเท้า แต่ก็ลำบากสำหรับคนตาบอดเหมือนกันเพราะว่าทางเท้ามักจะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาตั้งซะจนเต็ม ทางทีก็บังพื้นพิเศษนั้นจนมิด

เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐฯ ที่ผมได้พบเห็นมา ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการจะค่อนข้างมีพร้อม ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีกำหนดไว้ในกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นทางลาดเพื่อขึ้นอาคารสำหรับผู้พิการซึ่งนั่งรถเข็น ที่จอดรถสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ ห้องน้ำ และปุ่มกดเพื่อเปิดประตูอัตโนมัติ

ปุ่มนี้จะถูกติดตั้งไว้ก่อนถึงประตู เพื่อให้ผู้พิการกดเปิดประตู ซึ่งประตูก็จะเปิดค้างอยู่ประมาณห้าถึงสิบวินาที เพียงพอที่จะนั่งรถเข็นผ่านไป (ลักษณะเป็นเช่นในรูป)


Push-Button-on-Post-LD


สิ่งที้ผมค่อนข้างหงุดหงิดใจก็คือผมเห็นคนที่ไม่ได้พิการ ไม่ได้ถือข้าวของพะรุงพะรังจนมือไม่ว่างที่จะเปิดประตู และก็ดูแข็งแรงดี ใช้ปุ่มนั้นเปิดประตูอยู่หลายๆ ครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้มีกฎว่าคนธรรมดาห้ามใช้ แต่ว่าอุปกรณ์ทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมัน การใช้ปุ่มนั้นเปิดบ่อยๆ ย่อมทำให้เกิดการสึกหรอ รวมถึงต้องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต้นทุนของการเปิดประตูด้วยปุ่มดังกล่าวย่อมสูงกว่าการเปิดประตูด้วยมือตามปกติ แม้ว่าจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ว่าความเสียหายดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อคนพิการโดยตรง

ย้อนไปเมื่อสมัยผมเรียนมัธยม ตึกหนึ่งที่เรียนเป็นตึกห้าชั้น และทั้งตึกก็มีลิฟท์อยู่หนึ่งตัว ซึ่งเป็นลิฟท์สำหรับอาจารย์เท่านั้น นักเรียนห้ามใช้ แต่ว่าพวกเราก็มักจะแอบใช้เมื่อมีโอกาส เหตุผลก็คือความตื่นเต้นที่ได้ฝืนกฏสำเร็จและความสบายจากการไม่ต้องเดิน อย่างไรก็ตามก็จะมีอาจารย์คอยลงโทษถ้าจับได้ โดยท่านหนึ่งที่ลงโทษพวกเราจนเข็ดหลาบก็คือ อาจารย์จักกฤช สุทธิกลัด ซึ่งจะตีพวกเราด้วยไม้เรียวขนาดใหญ่ และสั่งสอนว่าการใช้ลิฟท์บ่อยๆ จะทำให้มันเสียเร็ว และคนที่เดือดร้อนก็คือ อาจารย์ที่สูงอายุซึ่งบางทีต้องเดินขึ้นบันไดสี่ห้าชั้นเพื่อขึ้นไปสอน ในช่วงระหว่างที่ลิฟท์ยังไม่ได้ซ่อม

เรื่องที่ผมยกขึ้นมาทั้งสองเรื่องอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วความคิดของคนส่วนใหญ่แล้วมันจะนึกถึงความสบายของตนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าการกระทำดังกล่าวโดยยึดแนวคิดดังกล่าวอาจจะไม่ได้ผิดกฎระเบียบแต่ว่าบางทีมันก็ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้โดยที่เราอาจคาดไม่ถึง


หมายเหตุ: อาจารย์จักกฤช ปัจจุบันได้ถึงแก่กรรมแล้ว ซึ่งท่านก็เป็นอาจารย์ที่สอนวิชาฟิสิกส์ผมตอนอยู่ ม.๔ และยังเป็นบิดาของเพื่อนร่วมห้องและร่วมคณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยของผมด้วย

รูปจาก: http://www.configure.ie/Accessible_Building_Equipment/upload/Image/Push-Button-on-Post-LD.jpg

Saturday, February 14, 2009

ความเหมือนระหว่างมอดและแมลงเม่าที่ผมเจอ

อากาศที่นี่ (พิตส์เบอร์ก) ค่อนข้างแห่งมากไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ผมรู้สึกว่าความชื้นในอากาศน้อยมากโดยเฉพาะบางวันที่ตื่นขึ้นมาคอแห้งผาก ก็เลยต้องรองน้ำใส่ภาชนะมาตั้งไว้ในห้องเพื่อเพิ่มความชื้น และก็ลองซื้อเครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) มาใช้ แต่ก็พบว่าไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เลยใช้วิธีเดิมๆ ก็คือรองน้ำใส่กาละมังมาไว้นั่นแหละ

น้ำที่รองไว้จะระเหยไปเร็วมาก ประมาณสัปดาห์กว่าๆ ก็จะแห้งไปหมด เวลาไปเติมน้ำก็จะมีสองสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ คราบขาวๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกหินปูนหรือเกลือแร่ที่อยู่ในน้ำ แต่อีกสิ่งหนึ่งก็คือแมลงตัวเล็กๆ สีดำๆ ที่เรียกว่า “มอด” นั่นเอง

แรกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เอากาละมังไปล้างแล้วก็รองน้ำใหม่ แต่มันก็เริ่มเจอบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนผมคิดว่าห้องคงโดนมอดบุกซะแล้ว ก็เลยต้องทำการดูดฝุ่นขนานใหญ่ ซึ่งที่มาของมันคาดว่าจะมาจากที่เก็บข้าวสารนี่แหละ ผมก็เลยนำชามมาใส่น้ำเพื่อดักมอด ปรากฎว่าได้ผลมีมอดหลายตัวมาติดกับ แรกๆ ก็มีมาก แต่หลังๆ ก็มีน้อยลงไปเยอะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามอดพวกนี้มันรู้ได้ยังไงว่ามีน้ำอยู่ที่ตรงไหน แล้วทำไมมันไม่กินดีๆ ตกลงไปตายกันจนหมด หรือว่าที่ผมคิดว่ามันหิวน้ำจะไม่จริง มันอาจไม่หิวน้ำก็ได้ แต่มันอาจจะอยากฆ่าตัวตาย ... ว่าแต่แมลงมันกลุ้มใจอะไรมากจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย ... ผมจึงคิดว่ามันคงจะหิวน้ำนั่นแหละ แต่คงจะกระหายมากไปหน่อยจึงโดดลงไปเล่นน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น (ดูจากในรูป นี่คือสภาพของมอดผู้โชคร้ายที่พลัดตกลงไปในน้ำ)
DSC01391
เคยได้ยินว่าวิธีไล่มอดจากถังข้าวสาร ก็คือให้นำใบมะกรูด หรือตะปูใหม่ๆ ลงไปใส่ในถังข้าวสาร ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมมอดมันถึงไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ หรือว่ามันรู้สึกว่ามีคนไล่มันก็เลยเกรงใจและออกไปโดยดี ชีวิตมอดมันมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้ ทั้งเรื่องการสัมผัสถึงแหล่งน้ำ และการไม่ชอบใบมะกรูด คาดว่ามันคงไม่ชอบทานต้มยำกุ้งด้วย ส่วนหนูตกถังข้าวสารผมคิดว่า ถ้าจะไล่คงต้องใช้วิธีอื่นและน่าจะไล่ยากกว่ามอดหลายเท่าตัวนัก

เมื่อเจอมอดเล่นน้ำทำให้ผมคิดไปถึง แมลงเม่าที่ชอบมาเล่นไฟ และก็ชอบบินเข้ากองไฟ อ้างอิงจากวิชาการดอทคอม http://mail.vcharkarn.com/vcafe/43932 พบว่าแสงไฟเป็นสิ่งเร้าที่แมลงม่าสัมผัสได้ ทำให้ต้องบินไปหา โดยที่มิได้เกรงกลัวกลับความร้อน อ่านเจอในเวบพันทิป http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7523676/X7523676.html มีคนนึงตอบได้ตลกดีก็คือมีแมลงเม่าอีกแบบที่ชอบเล่นไฟสีเขียว แต่พอบินเข้าไปก็จะเจอไฟสีแดง ซึ่งก็จะพบได้มากมายตามตลาดหุ้นทั่วโลก

จะว่าไปแล้วทั้งแมลงเม่าและมอดต่างก็พาตัวมันไปหาสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกของมันตามสัญชาติญาณ แต่ว่าในที่สุดก็อาจต้องแลกด้วยชีวิต ส่วนสำหรับมนุษย์นั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สัญชาติญาณจากธรรมชาติมีหลงเหลืออยู่น้อยที่สุดเมื่อดำเนินชีวิตอยู่ตามปกติ แต่ว่าคนที่ใช้ชีวิตแบบแมลงเม่าหรือมอดก็มีให้พบเห็นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะตามหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะคนที่แสวงหาอำนาจและจมไปกับอำนาจนั้นๆ โดยไม่รู้ตัวว่าความเป็นคนของตนได้ตายไปแล้ว

The wise are instructed by reason; ordinary minds by experience; the stupid, by necessity; and brutes by instinct.
Cicero (106 BC - 43 BC)

(เขียนเมื่อ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒)

Thursday, February 12, 2009

นักเศรษฐศาสตร์ไร้หัวใจ?

ถ้าพูดถึงคำว่า “เศรษฐศาสตร์” กับ “หัวใจ” ฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากันเท่าไหร่ เหมือนว่าเศรษฐศาสตร์จะเน้นไปทางวัตถุและเข้ากับคำว่า “ทรัพย์สินเงินทอง” มากกว่าหัวใจ แต่เมื่อเพิ่มเติมจนเป็นคำว่า “ไร้หัวใจ” มันก็ดูเหมือนจะเริ่มมีเค้าว่าสองคำนี้อาจไปด้วยกันได้ในความคิดของใครหลายๆ คน เพราะเหมือนว่านักเศรษฐศาสตร์จะสนใจแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ซะเป็นส่วนใหญ่

คำว่าเศรษฐศาสตร์ หรือ Economics ในภาษาอังกฤษก็มีรากศัพท์มาจากคำว่า οἰκονομία (oikonomia) ซึ่งก็หมายความว่าการจัดการในครัวเรือน (อ้างจาก Wikipedia : Economics) ผมจำคำนิยามของเศรษฐาสตร์ที่ผมเรียนสมัยตอนปริญญาตรีได้ว่า “การจัดการทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด”

ผมก็คิดว่าเป็นนิยามหนึ่งที่แสดงความเป็นเศรษฐศาสตร์ได้อย่างชัดเจน เพราะหลักพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ในความคิดของผมก็คือ การสร้างอรรถประโยชน์สูงสุด (Utility Maximization) ภายในงบประมาณหรือทรัพยากรอันจำกัด ซึ่งทุกกลไกในระบบเศรษฐกิจก็จะดำเนินการเช่นเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิต ผู้บริโภค หรือรัฐบาล

กลไกทางเศรษฐศาสตร์มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่เห็นชัดๆ ก็คือ ราคาสินค้า ซึ่งก็เป็นผลลัพธ์ที่บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างในกระบวนการทางเศรษฐศาสตร์นั้นๆ ราคากับกลไกหรือกิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์เป็นสองส่วนที่มีการปรับตัวเนื่องจากกันและกันอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การผลิตและการบริโภค ก็มีส่วนในการกำหนดราคา และราคาก็มีส่วนกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นการส่งต่อข้อมูลกลับไปกลับมาระหว่างสองส่วนนี้ จนในที่สุดเราสามารถหาสมดุลของทั้งสองปัจจัยนี้ได้
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่ากลไกราคาหรือกลไกตลาดเป็นสิ่งที่สร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เนื่องจากทุกคนจะสามารถสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดให้กับตนเองภายใต้ระบบกลไกราคา และเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าสู่จุดสมดุลด้วยตัวของมันเอง

ตอนที่ผมเริ่มเรียนเศรษฐศาสตร์ใหม่ๆ เรื่องที่เป็นบทเรียนพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้ก็คือ เรื่องของกลไกระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เส้นสองเส้นที่เส้นหนึ่งลากเฉียงลงจากทางซ้ายมาทางขวาที่แสดงถึงอุปสงค์ และอีกเส้นที่ลากลงจากทางขวาไปทางซ้ายหมายถึงอุปทาน เส้นสองเส้นนี้เป็นแบบจำลองที่ซับซ้อนน้อยที่สุดที่แสดงถึงกลไกราคา แต่ก็มีความหมายหลายประการที่ซ่อนอยู่ในแผนภูมิง่ายๆ นี้

การปรับตัวของกลไกราคาง่ายๆ ก็คือ ณ จุดใดที่มีอุปสงค์มากว่าอุปทาน ซึ่งหมายถึงความต้องการสินค้ามากกว่าสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ราคาสินค้าก็จะปรับตัวสูงขึ้น และในที่สุดความต้องการสินค้าก็จะลดลงเนื่องจากราคาแพงขึ้น และขณะเดียวกันก็จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากแรงจูงใจด้านราคา ในที่สุดกลไกราคาก็จะปรับให้อุปสงค์และอุปทานสมดุลกัน

ฟังดูแล้วก็เป็นกลไกง่ายๆ และดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วๆไป แต่ในโลกความเป็นจริงแล้วมันก็มีความจริงที่น่าสนใจอยู่ด้วย อุปสงค์ในส่วนนั้นหายไปไหน สมมุติว่าสินค้าที่เรากำลังพูดถึงคือ ข้าว อุปสงค์ที่หายไปอาจเพราะคนกินน้อยลง กินเท่าที่จำเป็น (ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไหร่) หรืออาจมีบางคนต้องอดข้าว บางคนอาจเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึงเลย เพียงแต่ว่าจะมีคนสนใจมากเพียงไรเท่านั้น ที่เห็นชัดๆ ก็คือหลายประเทศในทวีปอาฟริกา หรือแม้แต่ในเมืองไทยก็มีคนที่ต้องอดมื้อกินมื้ออยู่จำนวนไม่น้อย

ในบางมุมมองกลไกตลาดก็เหมือนกับทฤษฎีการเลือกสรรค์ของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ในธรรมชาติก็ต้องสูญพันธุ์ล้มหายตายไป อย่างไรก็ตามหากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับคนที่ใกล้ตัวเรา มันก็เหมือนว่ากลไกตลาดก็ทำงานไปของมันอย่างนั้น เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างที่เราคาดหวังไว้

เมื่อตอนที่ได้กลับเมืองไทยตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ดูข่าวหลายๆ ช่องที่นำเสนอเรื่องคนที่ถูกเลิกจ้าง เนื่องจากโรงงานที่ทำงานอยู่ปิดตัวลงหรือขาดทุน ซึ่งบางคนก็มีเงินออมอยู่ไม่เท่าไหร่ ไม่รู้จะอยู่ไปได้อีกกี่เดือน อีกทั้งมีภาระเรื่องบุตรหลาน ซึ่งหากพูดกันในฐานะมนุษย์ธรรมดาก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและน่าเห็นใจ แต่หากมองไปตามเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์มันก็เป็นเหมือนแค่กลไกการปรับตัวหนึ่งเท่านั้น

การที่กิจการกิจการหนึ่งต้องปิดตัวลงไปนั้น เนื่องจากว่ากิจการนั้นไม่สามารถแข่งขันได้กับกิจการอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ดังนั้นปัจจัยการผลิต เช่น แรงงาน (คน) หรือเงินทุน ก็ควรจะถูกโยกย้ายจากกิจการนั้นๆ ไปยังกิจการอื่นซึ่งประสิทธิภาพมากว่า อันจะส่งผลประโยชน์โดยรวมที่สูงขึ้นแก่ระบบเศรษฐกิจมากกว่า ทนประกอบกิจการทั้งๆ ที่ขาดทุน

อย่างไรก็ตามในโลกแห่งความจริงแล้ว แรงงานในตลาดไม่สามารถถูกโยกย้ายได้อย่างทันที และก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ในการที่แรงงานที่ถูกเลิกจ้างนั้นจะถูกว่าจ้างใช้งานในกิจการอื่น อาจเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้ แรงงานที่ไม่มีประสิทธิภาพสูงพอก็อาจต้องออกจากตลาดแรงงานไปอย่างถาวร ซึ่งก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาเช่น อาชญากรรมต่างๆ

ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นประเด็นที่แสดงให้เห็นว่าถ้าหากว่าเราใช้หลักเศรษฐศาสตร์ในการบริการสังคมเราอย่างเดียวนั้นมันไม่สามารถที่จะสร้างความสุขให้กับคนส่วนใหญ่ในสังคมได้เลย เราจำเป็นต้องมีส่วนประกอบที่เสริมเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการด้านสังคมสงเคราะห์ และการแทรกแซงกลไกตลาดเข้ามาช่วยเสริม เพื่อให้ “คน” ที่เป็นเพื่อนอยู่ด้วยกันในสังคมเดียวกับเราที่อาจไม่มีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมให้อยู่ในสังคมต่อไปได้ ไม่ถูกคัดออกไปเหมือนกับกลไกการคัดเลือกของธรรมชาติ

ผมได้อ่านหนังสือสารคดีฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นเรื่องของหนังสือห้ามอ่าน โดยในสยามประเทศนั้นหนังสือฉบับแรกที่ห้ามเผยแพร่ก็คือ หนังสือกฎหมายซึ่งนายโหมด อมาตยกุล ได้ว่าจ้างให้หมอบลัดเรย์เป็นคนพิมพ์จำหน่าย ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายเป็นความรู้ที่สงวนไว้ให้เจ้านายชั้นสูงและขุนนางเท่านั้น ซึ่งพอจะเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้จากระบบสังคมและการปกครองในสมัยนั้น

แต่อีกเล่มที่ผมพบว่ามีการห้ามก็คือ หนังสือทรัพย์ศาสตร์ ซึ่งเขียนโดยพระยาสุริยานุวัตร อดีตเสนาบดีกระทรวงพระมหาสมบัติ ซึ่งได้กล่าวถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบของชาวไร่ชาวนาจากพ่อค้า หนังสือดังกล่าวได้ถูกสั่งห้ามเผยแพร่ในที่สุด และจนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๗ วิชาเศรษฐศาสตร์ก็ถือเป็นวิชาต้องห้าม จนมาถึงสมัยที่ตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองวิชาเศรษฐศาสตร์จึงถูกนำมาสอนได้อีกครั้ง ซึ่งจากข้อความในหนังสือสารคดีได้กล่าวไว้ว่า

“ทันทีที่ ทรัพย์ศาสตร์ ๒ เล่มแรกตีพิมพ์ออกมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ (จากที่วางแผนไว้ว่าจะมีทั้งหมด ๓ เล่ม) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีรับสั่งให้พระยาสุริยานุวัตรยุติ การเขียน หลังจากนั้นทรงเขียนบทวิจารณ์ “ทรัพย์ศาสตร์ (เล่ม ๑) ตามความเห็นของเอกชนผู้ได้อ่านหนังสือเท่านั้น” ในนามปากกา “อัศวพาหุ” ลงในวารสาร สมุทรสาร ทรงเห็นว่า ทรัพย์ศาสตร์ จะทำให้คนไทยแตกแยกเป็นชนชั้น เพราะในสยามประเทศนั้น เว้นแต่พระเจ้าแผ่นดินแล้ว “ใคร ๆ ก็เสมอกันหมด” ทรงเห็นว่าผู้เขียน “ตั้งใจยุแหย่ให้คนไทยเกิดฤศยาแก่กันและแตกความสามัคคีกัน” เพราะเขียนเรื่องความต่างทางรายได้”

ในประเด็นดังกล่าวผมก็มีแนวคิดสองแนวคิดซึ่งขัดแย้งกันและก็มีน้ำหนักพอๆ กันก็คือ ข้อเสียของการห้ามศึกษาและเผยแพร่วิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยนั้นก็คือ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้เท่าทันพ่อค้าและการมีน้ำใจทำให้ถูกเอาเปรียบได้โดยง่าย ดูจากชาวจีนที่เข้ามาในเมืองไทยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนซึ่งเน้นการเก็บออมสะสมทุนและขยายกิจการ ซึ่งหลายคนประกอบกิจการจนร่ำรวย ต่างจากคนไทยซึ่งก็ยังใช้วิถีชีวิตเดิมๆ ไม่ได้ใส่ใจและสนใจในการสะสมทรัพย์สิน คนไทยที่มีฐานะดีก็จะเป็นพวกขุนนางศักดินาซึ่งมีทรัพย์สินตามยศถาบรรดาศักดิ์ของตน ถ้าจะมีคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาว่าทำให้ประเทศพัฒนาไม่ทัดเทียมประเทศอื่นก็อาจเป็นเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน

ส่วนข้อดีของการห้ามการศึกษาและเผยแพร่วิชาเศรษฐศาสตร์ก็คือ เมื่อพิจารณาสภาพสังคมในสมัยนั้น ซึ่งวิถีชีวิตของคนไทยเป็นไปอย่างเรียบง่ายสงบสุข และมีน้ำใจต่อกัน ถ้าหากมีแนวคิดเรื่องการสะสมทุนเข้าไปรบกวนจิตใจ คิดว่าสภาพสังคมก็อาจเปลี่ยนแปลงไปเหมือนสังคมเมืองในปัจจุบันนี้ซึ่งความจริงใจและน้ำใจเป็นสิ่งที่หาได้ยากเหลือเกิน ซึ่งบางทีการแลกความสุขกับความเจริญร่ำรวยก็เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากันเท่าไหร่ ซึ่งหากสมัยเมื่อเจ็ดแปดสิบปีก่อนคนไทยมีลักษณะหัวหมอชิงไหวชิงพริบและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน กันไปซะเป็นส่วนใหญ่แล้ว ผมก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าสังคมในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร คำหลายคำเช่น คำว่า “น้ำใจ” อาจจะหายไปจากพจนานุกรมก็เป็นได้

แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือที่สามารถแก้ปัญหาหลายๆ อย่างในระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้อย่างสมบูรณ์และสร้างความสุขให้กับทุกคนในสังคมได้ หากการใช้นโยบายทางเศรษฐศาสตร์สามารถประกอบไปกับการใช้หัวใจได้ก็คงดี เพราะก็มีคนหลายภาคส่วนในสังคมที่ไม่ได้เป็นผู้เล่นที่มีความพร้อมต่อกลไกทางเศรษฐศาสตร์ แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่อยู่ร่วมโลกกับเราในสังคมนี้

อ้างอิง หนังสือสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๔๙:
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=611

(เขียนเมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒)

ไปดูฝนดาวตก

ได้ข่าวว่าอาจมีฝนดาวตกให้ดูประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ประมาณวันที่ 17-18 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งไม่รู้ว่ามีตกบ้างหรือเปล่าhttp://thaiastro.nectec.or.th/skyevnt/meteors/2008meteors.html ซึ่งผมก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีปรากฏการณ์แบบนี้เมื่อประมาณเกือบสิบปีก่อน เมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ตอนนั้นได้ข่าวว่าจะมีฝนดาวตก คาดว่าประมาณช่วงหน้าหนาวนี้เหมือนกัน และด้วยว่าการอยู่ปีสี่นั้นวิชาเรียนมันมีน้อยเต็มที เพื่อนๆ ในกลุ่มก็เลยจัดทริปเพื่อไปดูฝนดาวตกกัน

สถานที่ที่จะไปก็คือจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งที่จะไปก็ไม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอะไร ไม่ใช่รีสอร์ต เป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเพื่อนของผมบางคนได้เคยมาออกค่ายอาสาพัฒนาที่หมู่บ้านนั้น สมาชิกทริปที่ไปก็มีเพื่อนผู้ชายในกลุ่มประมาณสิบคนและผู้หญิงประมาณสี่ห้าคน ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ค่อนข้างสนิทกัน
จำไม่ได้ว่าตอนนั้นที่ไปนั่งรถไฟหรือรถทัวร์ไป แต่จำได้ว่าไปถึงประมาณตีสี่กว่าๆ ยังไม่เช้าดี ก็เลยไปเช่าโรงแรมนอนประมาณสามสี่ชั่วโมง เพื่อหารถเข้าไปในหมู่บ้านตอนเช้า ซึ่งโรงแรมก็เป็นโรงแรมแบบห้องแถวแบบโบราณหน่อยๆ ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ซึ่งถ้าไปคนเดียวคงไม่กล้าพักแน่ เพราะบรรยากาศค่อนข้างวังเวงมาก

พอตอนเช้าก็เข้าไปในตลาดเพื่อซื้อเสบียงเข้าไปกิน เพราะต้องอยู่ในนั้นหลายวัน และก็ซื้อของไปให้เด็กๆ ในหมู่บ้านด้วย หลังจากนั้นก็นั่งรถเข้าไป จำได้ว่าน่าจะเป็นประมาณรถสองแถว การเข้าไปไหนหมู่บ้านก็ค่อนข้างจะลำบากเหมือนกันถนนเข้าไปก็เป็นลูกรัง และก็มีเนินเป็นระยะๆ

บ้านพ่อผู้ใหญ่ที่ไปนอนก็กว้างมาก มีชานเรือนที่กว้างพอให้เราสิบกว่าคนนอน ตอนที่ไปอยู่ที่นั่นก็ทำกับข้าวกันกินเอง และทางพ่อผู้ใหญ่กับแม่ก็ทำกับข้าวบ้าง กินรวมๆ กัน ตกดึกก็มีทานเหล้าบ้าง ดีดกีตาร์ ร้องเพลง ก็เป็นชีวิตที่สนุกดี ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะมันเหมือนอยู่ในหุบเขา สัญญาณมือถือและเพจเจอร์ก็ไม่มี มีโทรศัพท์สาธารณะที่ต้องเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีออกไปโทรกลับบ้านและก็ส่งเพจเจอร์ (น้ำเน่าๆ) บ้าง แต่ไม่กี่วันโทรศัพท์ก็เสีย ก็เลยขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงกับภายนอก

คืนที่ไปดูฝนดาวตกก็ออกกันไปตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ก็เดินหาที่โล่งๆ เพื่อจะรอดูฝนดาวตก พอดีก็ไปเจอถนนที่อยู่ในหมู่บ้าน พวกเราก็คิดว่าคงจะไม่มีรถวิ่งผ่าน เพราะมันเงียบและมืดมากๆ ก็เลยนอนดูกันกลางถนนที่แหละ พอดีมีเพื่อนคนนึง (โอฬาริก) บอกว่าจะเปิดไฟฉายทิ้งไว้เวลารถวิ่งมาจะได้เห็น คนอื่นก็เฉยๆ ไม่ได้ทำตาม

ดาวตกก็มีมาให้เห็นบ้างเหมือนกัน แต่ก็นานๆ มาที ดูกันไปเรื่อยๆ อากาศก็เย็นสบายๆ คุยกันไปเพลินๆ ก็หลับกันหมด แต่ว่ามาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เห็นแสงจ้ามากๆ ไม่ใช่ยูเอฟโอหรืออะไร แต่เป็นรถกระบะที่วิ่งมาบนถนนแล้วก็มาหยุดตรงที่พวกเรานอนพอดี ซึ่งคิดว่าถ้าโอไม่เปิดไฟฉายทิ้งไว้ ป่านนี้คงโดนรถกระบะทับแบนแน่ๆ ที่พวกพวกเราปลอดภัยส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความรอบคอบของโอนี่แหละ

ไปพักผ่อนครั้งนี้ก็ได้ความสนุกมากมาย ผมกับไอ้อ้วน (กุ๊กไก่ ชื่อปัจจุบันธงธง) ก็ออกไปตกปลากันทุกวัน เพราะในหมู่บ้านมีบึงขนาดใหญ่อยู่ ก็ยืมเบ็ดของพ่อผู้ใหญ่นี่และไปตก เหยื่อที่ใช้ก็คือกุ้งฝอย ซึ่งใช้สวิงไปช้อนมา นั่งตากแดดกันจนตัวดำไปตกหลายวันก็ไม่ได้ปลาอะไรใหญ่โต ได้ตัวเท่าปลาซิวปลาสร้อย พวกปลาที่ได้มาก็สงสารนะ แต่ว่าตกนานเหลือเกินก็เอามากินกันจนหมด พอเอาไปทอดก็เหลือนิดเดียว จนในที่สุดตอนหลังเราก็ตัดสินใจว่าไม่ตกปลาแล้ว เอากุ้งที่ช้อนได้นี่แหละมากิน ทางพ่อผู้ใหญ่ก็เลยเอาไปทำกุ้งเต้นให้กิน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ได้ทานกุ้งเต้น เอาเข้าปากไปก็กระโดดกันในปาก เรียกว่าผมได้ทำบาปกันแบบครบวงจรทีเดียว

ไปทริปนี้ก็มีเรื่องน่าสนุกอีกหลายเรื่อง เช่น ชัชอั๋นที่ออกไปเดินเล่นตอนเช้าแล้วกลับมาตาลีตาเหลือกว่าเจอมนุษย์ต่างดาว (ปกติก็มีความเชื่อประมาณนี้อยู่แล้ว) แต่อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากที่เกิดขึ้นในทริปนี้ก็คือ มนต์รักปลาทู ที่เกิดขึ้นระหว่างชิว หรือไอ้กำ กับเอ๋ โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในมื้อหนึ่งซึ่งในวันนั้นเรามีปลาทูทอดและเอ๋ก็เป็นคนแกะปลาทูให้ชิวกิน ซึ่งก็นับว่าเป็นความประทับใจระหว่างสองคนนั้นที่เกิดขึ้นและเติบโตมาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็น่าจะสิบปีได้แล้วมั้ง

ซึ่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาชิวกับเอ๋ก็ได้เข้าพิธีมงคลสมรสกัน ซึ่งผมก็เสียดายมากที่ไม่ได้มีโอกาศกลับไปร่วมงาน แต่ก็ขออวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขมากๆ มีครอบครัวที่อบอุ่นต่อไปในอนาคต
บางทีช่วงเวลาสำคัญๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นดีๆ ในชีวิตมันก็อาจเกิดจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่แสดงน้ำใจเล็กๆ ที่มีให้กัน เช่น การแกะปลาทูให้กัน หรือการยิ้มให้กัน เป็นต้น
ซึ่งก็ทำให้ผมนึกถึงเพลง “เพราะอะไร” (อีกแล้ว) “... หรือเป็นเพียงรอยยิ้มรอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ...”

ปล. หลังจากไปดูฝนดาวตกกลับมา ก็ได้คุยกับที่บ้าน ซึ่งทำให้รู้ว่าแถวบ้าน (พุทธมณฑลสายสอง) มีฝนดาวตกมากว่าที่ผมไปดูที่เพชรบูรณ์เสียอีก

(เขียนเมื่อ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑)

Too big to fail?

เมื่อหลายวันก่อนได้ยินอาจารย์พูดในห้องเรียนเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯ กรณีการนำเงินของรัฐบาลไปอุ้มสถาบันการเงินที่กำลังจะล้มละลาย และก็มีนักเรียนคนหนึ่งถามมาว่าที่ต้องช่วยสถาบันการเิงินเหล่านี้เพราะว่ามันใหญ่เกินที่จะปล่อยให้ล้มละลายหรือเปล่า (Too big to fail) อาจารย์ก็ตอบประมาณว่า นั่นก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งเพราะว่าถ้าสถาบันการเิงินเหล่านี้ล้มละลายไปหมดก็จะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ต่อระบบการเงินทั้งระบบ

ถ้าถามผม ผมก็มีประเด็นที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินโดยรัฐบาล โดยถ้าจะอิงกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เรื่อง Agency Problem หรือเรียกอีกแบบนึงว่า Moral Hazard มีอาจารย์ท่่านหนึ่งบอกผมว่าระยะหลังในแวดวงวิชาการเรียกว่า Agency Problem ก็เพราะว่ามันไ่ม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม (Moral) เพราะว่าถ้าเป็นใครที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็ต้องทำ

ปัญหา Agency เกิดขึ้นก็เมื่อแรงจูงใจของผู้ทำความตกลงทั้งสองฝ่ายไม่สอดคล้องกัน (Not Incentive Compatible) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเกี่ยวกับการจ้างงาน ถ้าหากเงินเดือนของลูกจ้างไม่ผูกติดกับผลสัมฤทธิ์ของงาน ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท ลูกจ้างก็นั่งทำงานเช้าชามเย็นชามไปวันๆ (เพราะนั่นมันดีที่สุดต่อตัวเขาเอง ทำงานหนักมันลำบากทั้งเหนื่อยทั้งเครียด) ถ้าอู้งานแล้วได้เงินเดือนเท่าเดิมใครจะไปขยันทำงาน

การผูกผลงานกับผลตอบแทนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ว่าก็ไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบและติดตาม (Monitoring) ซึ่งในส่วนนี้ก็มีต้นทุน และำก็ทำได้ลำบาก ยกตัวอย่างเช่น เราอาจเห็นพนักงานพิมพ์คอมอยู่อย่างขมักเขม้น แต่ว่าเขาอาจคุย MSN กับเพื่อนอยู่ก็ได้ เป็นต้น

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือ ผมเป็นผู้ช่วยสอนของอาจารย์ท่านหนึ่ง และเขาก็พูดในห้องเรียนว่า ทำไมเราต้องมีการสอบ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีต่อทั้งอาจารย์และนักเรียนเลย อาจารย์ต้องออกข้อสอบและก็ตรวจ นักเรียนก็ต้องเครียดกับการสอบ

สมมุติว่าในวันเปิดเทอมอาจารย์บอกกับนักเรียนว่าวิชานี้ไม่มีการสอบ และจะให้ A กับทุกคน เพียงแค่นักเรียนสัญญากับผมว่าคุณจะตั้งใจเรียน เข้าเรียนทุกครั้ง และทบทวนบทเรียนเป็นประจำ นักเรียนทุกคนก็คงบอกว่า “รับรองว่าเราจะทำตามที่สัญญากับอาจารย์ทุกอย่าง” ซึ่งในความเป็นจริงจะมีนักเรียนสักกี่คนที่ทำตามสัญญา การตรวจสอบก็ทำได้ลำบาก ดั้งนั้นจึงต้องมีการสอบ และการสอบก็เป็นต้นทุนของข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน (Cost of Asymmetric Information)

ย้อนมาถึงปัญหาการอุ้มบริษัทที่ (จะ) ล้มละลาย ถ้าสมมุติว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทที่ได้รับการรับรองว่าจะไม่มีวันล้มละลาย รัฐบาลจะเข้ามาอุ้มเสมอถ้ามีปัญหา เราจะเลือกลงทุนอย่างไร ระหว่างทางเลือกที่กำไรสูงและความเสี่ยงสูง กับทางเลือกที่ำกำไรต่ำและความเสี่ยงต่ำ แน่นอนเราต้องเลือกทางที่ได้กำไรสูงอยู่แล้ว เพราะยังไงถ้าพลาดก็มีคนมาช่วย ซึ่งมันก็เหมือนกับการโยนความเสี่ยงไปสู่เงินภาษีประชาชน ในขณะที่บริษัทได้ผลประโยชน์ถ้าการเก็งกำไรนั้นสำเร็จ

ดั้งนั้นหากมีกา่รช่วยเหลือดังกล่าวก็ต้องมีการติดตามผลที่เข้มงวดเข้ามาประกอบด้วย ซึ่งก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของสังคม รวมถึงต้องมีการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดประกอบไปด้วยกัน ซึ่งก็เป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคของ Regulation แบบในอดีต

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวกับ Too big to fail ก็คือ มีนักเรียนเรียนถามว่าเศรษกิจอเมริกาจะล่มสลายได้หรือเปล่า อาจารย์ไม่ตอบอะไร แต่ได้ยกตัวอย่างว่ามันไม่จริงเสมอไปว่าถ้าใหญ่มากแล้วจะล้มไม่ได้ ถ้าลองมองย้อนดูไปในประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่ามีอาณาจักรโบราณ ไม่ว่าจะเป็นพวกบาบิโลน หรืออารยธรรมเก่าแ่ก่ต่างๆ ที่อยู่มาเป็นหลายร้อยปี และยิ่งใหญ่มากๆ ในที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็สามารถล่มสลายได้ไม่ว่าจะใหญ่และมีอำนาจมากขนาดไหน

ดังนั้นไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่ควรประมาทเพราะความ “เสื่อม” จากพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็นำไปสู่ความล่มสลายที่มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว

(เขียนเมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑)

Structural change, Greedy and Vegetarian

บล๊อกคราวนี้ก็เป็นเรื่องผสมปนเปกันไปสองสามเรื่อง ก็คงจะแยกได้เป็นสามภาค ที่เกี่ยวข้องกันบ้างไม่เกี่ยวข้องกันบ้าง

ภาคหนึ่ง: ว่าด้วย Structural Change
เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เข้าไปนั่งฟังเลคเชอร์ในชั่วโมงเรียนวิชา Options ที่ผมเป็น grader อยู่ อาจารย์ก็ได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ โดยเกริ่นเรื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และก็พูดถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งน่าสนใจ
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเบื้องต้นยังอยู่ในรูปแบบที่ยังไม่ถึงขั้น Working paper เสียด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ได้ copy มาจากอาจารย์แต่ลองหาดูในอินเตอร์เนทก็ยังไม่พบ คาดว่าคงยังไม่เผยแพร่ให้วิจารณ์กันในวงกว้างเท่าไหร่ ถ้ามีเวอร์ชั่นที่เผยแพร่เมื่อไหร่จะเอามาโพสต์ไว้อีกที
ประเด็นที่งานชิ้นนี้กล่าวถึงก็คือว่า ในปี 2005 ในประเทศสหรัฐฯ มีการผ่านกฏหมาย Bankruptcy Abuse Reform 2005 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลในส่วนของบัตรเครดิตและการผ่อนรถยนต์ การแก้ไขกฏหมายฉบับนี้ทำให้การ “เบี้ยว” (Default) หนี้บัตรเครดิตและรถยนต์ทำได้ยากขึ้น
แม้ว่าสาเหตุหลักของการเบี้ยวหนี้อสังหาฯ ในสหรัฐเกิดจากราคาบ้านที่ตกต่ำ (เมื่อคนผ่อนบ้านพบว่ากำลังจ่ายราคาบ้านที่สูงกว่ามูลค่าจริง ก็เลยเบี้ยวหนี้) ผู้วิจัยก็ได้ตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลว่า หลังจากที่ได้มีการแก้กฎหมายฉบับนี้แล้ว เกิดการเบี้ยวหนี้จากการผ่อนบ้าน (mortgage) มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ก่อนการแก้กฎหมายคนส่วนใหญ่จะเบี้ยวหนี้เครดิตการ์ดและรถยนต์เป็นอย่างแรก เพราะมีกระบวนการประนอมหนี้ที่เบากว่าการเบี้ยวหนี้ผ่อนบ้าน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างพฤติกรรมของผู้บริโภคจากการแก้กฎหมายนี้ อาจเป็นสิ่งที่ทางฝ่ายสถาบันการเงินคาดไม่ถึงเหมือนกัน และอาจารย์ก็ได้เล่าต่ออีกว่า เป็นเรื่องน่าขันเพราะสถาบันการเงินต่างๆ ที่ประสบปัญหาหนี้อสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะนี้เป็นฝ่ายที่วิ่งเต้นให้มีการแก้กฎหมายดังกล่าว
จากงานวิจัยดังกล่าวทำให้เห็นว่าการแก้กฎหมายดังกล่าวมีผลอย่างมีนัยสำคัญของการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือได้ว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ซึ่งหากพวกสถาบันการเงินต่างๆ ไม่รู้หรือไม่ได้นำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ความน่าจะเป็นที่ลูกค้าจะเบี้ยวหนี้อสังหาฯ ไปอัพเดทแบบจำลองทางการเงิน (Financial model) ที่ใช้อยู่ ผลที่ออกมาก็จะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ ซึ่งเกิดผลเสียชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
นี่ก็ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำคัญของการพิจารณาเชิงโครงสร้างในทางเศรษฐศาสตร์อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วในบทความเรื่อง “Structural model สำคัญอย่างไรในการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์”
ทิ้งท้ายไว้ด้วย Quote ที่น่าสนใจก็คือ “All model are wrong but some models are useful. – George E. Box, a statistician” จริงๆ แล้วแบบจำลองทุกอย่างมันผิดหมด เพราะมันไม่ใช่ของจริง แต่ว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากแบบจำลองบางส่วนได้

ภาคสอง: ว่าด้วย Greedy
เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับภาคหนึ่งบ้าง เรื่องที่อาจารย์เล่าความเป็นมาของภาคการเงินในสหรัฐหลังวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อทศวรรษที่ 1930 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมาย The Glass-Steagall Act of 1933 ที่ห้ามสถาบันการเงินต่างๆ นำเงินฝากไปลงทุนในพันธบัตรหรือตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากว่าก่อนหน้านั้น ธนาคารได้นำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และผลสืบเนื่องจากการล้มของตลาดหุ้นในปี 1929 ทำให้ธนาคารเหล่านี้ล้มละลาย และผู้ฝากเงินก็สูญเงินฝากไปด้วย ซึ่งกฎหมายที่ออกมานี้ก็รวมไปถึงการตั้ง Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) หรือบริษัทประกันเงินฝากในสหรัฐด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมาประมาณห้าสิบปีก็มีความพยายามที่จะวิ่งเต้นในการแก้กฎหมายดังกล่าว เนื่องจากว่าสถาบันการเงินทั้งหลายต้องการทำธุรกรรมที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าการรับฝากเงินและปล่อยสินเชื่อทั่วไป ซึ่งก็ใช้เวลานานหลายสิบปีในการวิ่งเต้นจนสามารถ ออกกฎหมายใหม่ในปี 1999 คือ The Gramm-Leach-Bliley Act ซึ่งอนุญาตให้ธนาคารทำธุรกรรมได้กว้างขวางขึ้นซึ่งรวมไปถึงการซื้อขาย mortgage-backed securities ที่เกิดปัญหาอยู่ในปัจจุบัน
ในส่วนของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น เดิมทีก็จะมีการคัดแต่ลูกค้าที่มีเครดิตดี แต่ว่าการเติบโตของตลาดในส่วนนั้นมันอยู่ในระดับที่ไม่สูง นักการเงินก็เริ่มหันมามองตลาดในส่วนของ sub-prime หรือกลุ่มที่มีเครดิตไม่ดี ซึ่งเป็นตลาดที่ยังไม่มีใครเข้าไปลงทุน ในช่วงแรกก็ทำกำไรให้สถาบันการเงินต่างๆ มากมาย แต่หลังจากนั้นลูกค้าในกลุ่มนี้ก็เป็นปัญหาดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
จริงๆ แล้วในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ผมก็เชื่อในการสร้างประสิทธิภาพจากระบบตลาด ซึ่งเป็นข้อดีข้อหนึ่งของระบบทุนนิยม อย่างไรก็ตามทุนนิยมที่แฝงไว้ด้วยความโลภในที่สุดมันก็จะกัดกินตัวมันเองจนหมดในที่สุด (ที่สำคัญมันเดือดร้อนภาษีของคนทั้งประเทศด้วยน่ะสิ)
ที่ได้ยินนักการเมืองในสหรัฐฯ พูดถึงการเข้มงวดในการกำกับดูแล (Regulation) สถาบันการเงินให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน มันก็เหมือนเป็นวงจรที่กลับมาสู่ระบบเดิมเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว ใครว่าเมืองไทย “วัวหายแล้วล้อมคอก” ประเทศเดียวในโลก ตอนนี้วัวที่อเมริกาหายไปแล้วทีนึงหลายตัวเขาก็คิดจะล้อมคอกกันใหม่ หลังจากเปิดคอกไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ถ้าผมมีอายุยืนไปอีกหลายสิบปีไม่รู้จะมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อยืดหยุ่นการประกอบธุรกรรมอีกหรือเปล่า

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://en.wikipedia.org/wiki/Glass-Steagall_Act http://en.wikipedia.org/wiki/Gramm-Leach-Bliley_Act

ภาคสาม: Vegetarian หรือ กินเจ
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นยืดยาวอะไรมากมาย ช่วงนี้ก็พึ่งพ้นจากเทศกาลกินเจกันไปได้ไม่นาน ผมก็ไม่ได้กินเจอะไรกับเขาหรอก เพราะไม่ได้ศรัทธาอะไร แต่ก็มีประเด็นให้คิดในมุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ว่า เราพอจะกินเจกันในรูปแบบอื่นได้ไหม (ทั้งนี้ต้องออกตัวไว้ก่อนว่ามิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินความเชื่อส่วนบุคคลของท่านที่ศรัทธาในประเพณีนี้)
ทั้งนี้ในช่วงเทศกาลกินเจที่หลายๆคนพากันหยุดการกินเนื้อสัตว์มันทำให้เกิด Shock ในตลาด ก็คือว่า ปริมาณการขายเนื้อสัตว์ลดลงฮวบฮาบ ปริมาณการขายผักเพิ่มขึ้นอย่างฮวบฮาบ และอาหารเจทั้งหลายก็ขึ้นราคาอย่างฮวบฮาบเช่นกัน แม้ว่าราคาที่จ่ายจะแสดงถึงความพึงพอใจหรือมูลค่าที่ผู้บริโภคประเมินต่อสินค้านั้น แต่ว่าการที่ต้องจ่ายราคาที่แพงกว่าปกติหลายเท่าจากช่วงเวลาปกติ มันก็ดูจะบั่นทอนกำลังจ่ายและกำลังใจของคนที่กินเจไปไม่มากก็น้อยเหมือนกัน
ถ้าเราอยากกินเจเพื่อลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตลง เราจะลองกินเจกันแบบอื่นได้ไหม ยกตัวอย่างเช่น หากทุกคนกินเจในเดือนที่ตัวเองเกิด หรือว่ากินเจทุกสัปดาห์ที่สี่ของเดือน ตลอดทั้งปี หรือว่ากินเจหนึ่งหรือสองวันต่อหนึ่งสัปดาห์ มันจะทำให้ไม่เกิด shock ในระบบ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง และข้อหนึ่งซึ่งผมคิดว่ามีสำคัญไม่น้อยกว่าการงดเนื้อสัตว์ในเทศกาลกินเจก็คือการทำใจให้บริสุทธิ์ หากว่าการกินเจเป็นการย้ำเตือนถึงการทำความดีข้อนี้ด้วย ก็ไม่จำเป็นที่ต้องทำแค่ปีละสิบวันในช่วงที่ประเพณีกำหนดไว้ ทำอาทิตย์ละวันทั้งปีก็น่าจะเป็นสิ่งที่เตือนใจให้เราเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืนกว่า
แต่ผมก็เข้าใจครับการกินเจในช่วงเทศกาลนั้นทำให้เรามีตัวเลือกที่หลากหลาย มีคนรอบข้างที่ทำเหมือนๆ กัน และมีเรื่องของประเพณี เป็นแรงส่งให้มีกำลังศรัทธามากขึ้น แต่หากลองคิดดูว่า หากเราทุกคนลดการกินเนื้ออย่างต่อเนื่องมันจะส่งผลให้มีการลดการเลี้ยงสัตว์ในระยะยาว มากกว่าการลดการกินเนื้อแบบฮวบฮาบในช่วงสิบกว่าวัน แล้วก็กลับมาบริโภคเนื้อนในอัตราเดิม นอกจากนั้นสำหรับบางคนแล้วหลังออกเจก็กินเนื้อในอัตราที่เพิ่มขึ้นในมื้อแรกๆ ของการออกเจ เนื่องจากอดมานาน
หมายเหตุ – เรื่องศรัทธาความเชื่อนี้เป็นเรื่องที่ควรเก็บไว้ในใจ กล่าวถึงศรัทธาของตน แต่ไม่ควรกล่าวดูหมิ่นหรือลบหลู่แนวคิดของคนอื่น ได้อ่านเจอในหลายกรณีในอินเตอร์เนตที่คนเถียงทะเลาะกันเพราะเรื่องกินเนื้อวัว ไม่กินเนื้อวัว ไม่กินเนื้อวัวเป็นคนดี กินเนื้อวัวเป็นคนไม่ดี (ประเด็นการกินเจก็เช่นกัน) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่ตรงกับประโยคที่ผมคิดขึ้นเองว่า “อัตตาข้าใครอย่าแตะ”

(เขียนเมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑)

ความทรงจำแช่แข็ง

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนพึ่งจะได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง “แฟนฉัน” จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะดูตั้งแต่หนังเข้าที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสไปดู พอหนังออกเป็นแผ่นก็ว่าจะซื้อ แต่ก็ไม่ได้ซื้อซะที ก็ทิ้งไว้จนเ้นิ่นนานกว่าจะได้ดู แต่ก็ดันได้ดูหนังฮ่องกงเรื่อง “แฟนเฉิน” ซึ่งออกมาทีหลังก่อนแฟนฉัน

จะว่าไปแล้ว “แฟนฉัน” ก็เป็นหนังที่ดูเพลินดี ได้สะกิดความทรงจำเก่าๆ ที่ฝังในใจออกมาบ้าง ทั้งเรื่องการละเล่น หนัง หรือการ์ตูน แม้จะเก็บได้ไม่หมดในหลายๆ เรื่องที่ผมเคยพบเห็นในวัยเด็ก แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ดูไปก็รู้สึกเบาๆ สบายๆ

โดยรวมแล้วผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ แต่ที่ประทับใจที่สุดก็คงเป็นตอนจบ ที่ต้องการสื่อถึงความทรงจำที่ถูกหยุดไว้ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ความรู้สึกเก่าๆ เป็นยังไง ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

ในชีวิตของคนเราตั้งแต่เด็กจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่ เราได้พบพานกับคนมากมาย และก็มีหลายๆ คนที่ห่างหายไปจากชีวิต และคงเหลืออยู่กับเราแค่ความทรงจำ ลองคิดดูว่าตั้งแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย จนถึงชีวิตการทำงาน เราได้รู้จักกับใครบ้าง เป็นเพื่อนกับใครบ้าง และตอนนี้มีใครบ้างที่ยังมีบทบาทอยู่ในชีวิตเรา
ยกตัวอย่างเช่นตัวผมเอง เมื่อลองคิดย้อนไปตอนอนุบาล ผมจำได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น อย่างเช่น ครูฉลวย ซึ่งเป็นครูประจำชั้นตอนอนุบาล 1/5 เป็นหญิงชราร่างเล็กผมขาวทั้งหัว ใจดี (แต่จำได้ว่าตีผมเหมือนกัน) ความทรงจำของผมต่อคุณครูก็ยังคงเป็นอย่างที่จำได้ในวัยอนุบาล ... มันถูกแช่แข็งไว้อย่างนั้น ณ เวลานั้น แม้ว่าจะผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าปี ก็หวังว่าคุณครูจะยังคงสบายดี

พอลองคิดๆ ดูแล้วก็มีหลายๆ คน ที่ความทรงจำของผมเกี่ยวกับคนเหล่านั้นถูกแช่แข็งไว้ ณ อดีต ทั้งญาติ เพื่อน และคุณครู ถึงแม้ในปัจจุบันชีวิตอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว แต่ว่าความทรงจำเหล่านั้นก็ยังถูกเก็บไว้อย่างดี และพวกเขาก็ยังคงอยู่ในรูปแบบนั้น อย่างที่เขาเป็นในอดีต บางคนปัจจุบันคงจะอายุสามสิบแล้ว แต่ว่าในความทรงจำของผม เขาก็ยังเป็นเด็กอายุ 7-8 ขวบ ที่เคยชวนกันคุยในห้องเรียน เล่นทอยตุ๊กตุ่นหลังเลิกเรียน และความทรงจำทั้งหมดก็หยุดไว้แค่นั้น เมื่อต้องแยกย้ายไปตามหนทางของแต่ละคน (ถ้าสมัยก่อนมีพวก Social network เหมือนในปัจจุบันก็คงจะมีโอกาสอัพเดทชีวิตกันได้)

แต่ว่าที่สำคัญที่สุดคือ ความทรงจำอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกแช่แข็ง และก็ยังเิติบโตไปเรื่อยๆ เป็นความทรงจำที่เรากำลังสร้างอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าในที่สุดคนที่อยู่รอบข้างเรา ณ ปัจจุบันนี้อาจต้องแยกย้ายและต้องแช่แข็งความทรงจำไว้ ณ จุดนั้นๆ แต่ก็หวังว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดี ถึงแม้จะมีทั้งเรื่องหวานขมระคนกันไป (อย่างเพลงพี่ป๊อด) และก็หวังไว้อีกว่าอยากจะมีบางคน และหลายคนที่จะร่วมเติบโตไปด้วยกันตลอดชีวิต ... ร่วมสร้างความทรงจำที่มีชีวิตไปจนสุดทาง

ปล. “แฟนเฉิน” เป็นมหากาพย์หนังฮ่องกงนำแสดงโดยพระเอกชื่อดัง ประกบกับดาราหญิงเจ้าบทบาทเกือบทั้งเกาะ - -“ แม้จะเป็นหนังต้นทุนต่ำ แต่ปรากฎการณ์ของหนังเรื่องนี้ก็สั่นคลอนวงการบันเทิงของฮ่องกงได้ทั้งเกาะ

(เขียนเมื่อ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๑)

หมอดู หมอดู และหมอดู

วันนี้ได้เห็นพาดหัวข่่าวหน้าหนึ่งของ The Wall Street Journal (15 ก.ย. 51 ) แล้วก็ค่อนข้างตกใจมากเพราะว่ายักษ์ใหญ่ทางการเงินของวอลล์สตรีททั้งสามแห่ง คือ, Merill Lynch และ AIG ต่างประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ราคาหุ้นโดยเฉพาะของ Lehman Brothers นับแต่ต้นปีนี้ตกลงมาถึง 94% ส่วนอีกสองบริษัทที่เหลือก็ไม่ได้ต่างกันมาก ลดลงมา 68 (ML) % และ 79% (AIG)

ปล. ไม่รู้ของ AIG นี่จะตกหนักว่านี้หรือเปล่านะครับ หลังจาก แมนยู แพ้ลิเวอร์พูลไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา :) นานๆ ได้เฮทีตามประสาแฟนหงส์ (AIG เป็นสปอนเซอร์ที่เสื้อแข่งของแมนยูฯ เป็นลางร้ายของบริษัทจริงๆ)
นับเป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจมาก ไม่รู้ว่าจะสถานะทางการเงินที่ง่อนแง่นจากปัญหา Subprime Mortgage ของยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะส่งผลต่อเนื่องไปเพียงใด ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ทั้งหน้าหนึ่งของ WSJ ก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับปัญหาการเงินของสหรัฐ แต่พอผมลองอ่านมาเรื่อยๆ จนถึงด้านล่าง ก็พบเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศไทย

อ่านพาดหัวบรรทัดแรก “Political Turmoil in Thailand” ก็รู้สึกว่าสื่อต่างชาติให้ความสำคัญกับการเมืองในประเทศเรา อืมม ก็ดี แต่พออ่านลงมาบรรทัดที่สอง “Boosts Business of Astrologers” โอละพ่อล่ะที่นี้ และรูปประกอบก็ไม่ใช่ใครอื่น ไม่ใช่นักการเมือง สารพัด ส. ที่เป็น Candidate นายกรัฐมนตรีของไทยแต่อย่างใด แต่เป็นรูปของหมอดูชื่อดัง “ลักษณ์ เลขานิเทศ”

เนื้อหาในข่าวก็กล่าวถึงการเติบโตของธุรกิจหมอดูในประเทศไทยที่เติบโตรุ่งเรืองสวนทางกับความสงบสุขของประเทศ นับตั้งแต่มีการปฏิวัติจนถึงล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะจัดรายการทำอาหารทางทีวี (ชิมไป บ่นไป) มีการกล่าวถึงประวัติหมอลักษณ์ว่าโด่งดังมาจากกรณีทำนายว่าดาราสาวชื่อดังท้อง (แหม่มเบนโล) ไปจนถึงการรวมตัวกันแต่งเสื้อสีเหลืองเพื่อต้านมนต์ดำเขมร (เอาเข้าไป และคิดว่าใครเป็นแหล่งข่าวเนี่ย) รวมถึงการที่บุคคลระดับสูงในประเทศเชื่อเรื่องหมอดูในการตัดสินใจต่างๆ จนถึงเรื่องที่หมอดูเก่งกาจ จงใจพระ เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลธุรกิจประเภทนี้ เนื่องจากมันเกร่อขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งการทำนายดวงทางโทรศัพท์ และิอินเตอร์เนท

ผมเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีอคติต่ออาชีพหมอดู แม้ว่าหลายคนจะใช้หมอดูเป็นทีพึ่งทางใจ ยามที่ใจอ่อนแอ ซึ่งมันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ถ้าหมอแก้ดวงได้ก็บอกว่าตัวเองเก่ง แก้ไม่ได้ก็อ้างว่ากรรมเก่าของลูกค้า เรื่องนี้ผมก็ถือว่าเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อและทำตามที่ตัวเองเชื่อ

แต่ที่มันรำคาญใจทุกครั้งที่ผมอ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ที่หมอดูพวกนี้มักจะออกมาทำนายอะไรที่เกี่ยวกับประเทศชาติ และสาธารณะ ไอ้พวกที่ว่า จะเกิดภัยพิบัติเืดือนนั้นเืดือนนี้ บุคคลสำคัญจะเสียชีวิต จะมีการรัฐประหาร ไอ้พวกนี้เหมือนสักแต่ว่ามีปากก็พูดไป ไม่ได้ออกมารับผิดชอบเวลาที่ทายผิดพลาด แต่เวลาทายถูกขึ้นมาก็จะยกตนขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญของชาติ แสร่ดดด (ขอใช้ภาษาเด็กวัยรุ่่นหน่อย)

ผมได้อ่านบทความของคุณแทนไท ประเสริฐกุลที่เขียนในนิตยสาร A Day ฉบับหน้าปกคุณประภาส ชลศรานนท์ แล้วก็ถูกใจและตรงใจกับที่คิด พวกนี้ทาย 10 ถูก 1 ก็จะเอาที่ทายถูกเนี่ยมาโฆษณาไม่รู้จบ แต่พอทายผิดก็ปล่อยให้เงียบไปตามสายลม บางทีอ่านหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าประเทศไทยเนี่ย ไ่ม่ต้องมีนักวิเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ หรือนักเศรษฐศาสตร์เลยก็ได้ หมอดูเนี่ย (แม่ม) ทายได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สภาวะทางการเมือง และสภาพเศรษฐกิจ

ส่วนตัวผมเองลึกๆ ก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน เรื่องของจิตวิญญาณ แต่ว่าชีวิตของเราที่ดำเนินไปทุกวัน ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่อยู่กับสิ่งที่อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ วัดได้ สัมผัส และรับรู้ได้ ควรหรือที่เราควรจะให้หมอดูเป็นผู้กำหนดชีวิตหรือความเป็นไปในสังคมของเรา

ไม่รู้เหมือนกันว่า WSJ เลือกบทความนี้มาลงในหน้าหนึ่ง เพื่ออะไร อาจต้องการช่วยลดความเครียดของผู้อ่านจากสภาพเศรษฐกิจของอเมริกาจากบทความเบาๆ (สมอง) หรือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขความเครียดของชาวอเมริกัน แต่รู้อย่างเดียวว่าหมอลักษณ์แก Go inter แล้วล่ะ

----------------

มีอาจารย์ Finance เอาเนื้อความใน Fortune Cookie ที่ร้านอาหารจีนในอเมริกามักจะให้ลูกค้าเวลาเช็คบิลมาแปะไว้ที่บอร์ด และพิมพ์ข้อความประกอบแปะไว้ด้วยว่า "Call for Paper for the Conference on Behavioral Finance Inspired by Fortune Cookies" ... ข้อความในคุกกี้ก็คือ "No harm of putting all your eggs in one basket- if you look them closely"

(เขียนเมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๑)

อาหารยามยาก

ว่ากันด้วยอาหารยามยาก หลายๆ คนก็คงจะคิดถึง บะหมี่สำเร็จรูป หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า “มาม่า” ทั้งที่บะหมี่สำเร็จรูปมีหลากหลายยี่ห้อ แต่ว่ามาม่าก็เป็นชื่อที่เรียกกันติดปากกันมานานแล้ว เหมือนกับที่เราเรียกผงซักฟอกว่า “แฟ๊บ” ทั้งที่มันเป็นยี่ห้อหนึ่งของผงซักฟอกเช่นกัน

ในเมืองไทยหากยอดขายของมาม่าเพิ่มสูงขึ้น ก็เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจคงเริ่มจะมีปัญหาแล้ว เหมือนเป็น Leading Indicator ทางเศรษฐกิจที่บ่งบอกว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคคงเริ่มถดถอย มาม่า และปลากระป๋อง เรียกได้ว่า เป็นอาหารยามยากของคนไทยก็ว่าได้ เหมือนที่มีการพูดกันเล่นๆ ในหมู่นักพนันบอล ที่คืนไหนเสียบอล ก็จะบอกว่าคืนนี้กินมาม่าอีกแล้ว

วันก่อนได้อ่านกรอบเล็กๆ ในนิตยสารไทม์ เกี่ยวกับการบริโภค “Baked Beans” ในประเทศอังกฤษ ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 12% ทั้งนี้เนื่องจากราคาอาหารโดยรวมได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งไอ้เจ้าถั่วนี่เป็นอาหารที่ถูกมากเมื่อเทียบกับอาหารกระป๋องชนิดอื่นๆ จำได้ว่าตอนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ไปเห็นเจ้าถั่วกระป๋องยี่ห้อเทสโก้ ราคาตกแค่กระป๋องละ 7 เพนนี ซึ่งเรียกว่าถูกมากๆ ถูกกว่าข้าวเปล่าซะอีก (ในรูปนี่ยังดีไซน์พัฒนาขึ้นมาหน่อย ตอนนั้นที่เห็นเป็นแค่ฉลากขาวๆ ติดคำว่า Tesco Value) ว่ากันว่าถั่วนี้สามารถกินแก้หนาวได้ดีมากๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบทานเท่าไหร่
ส่วนในสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกันยอดขายของอาหารกระป๋องโดยเฉพาะ Spam ก็เพิ่มขึ้นถึงกว่า 10% ไอ้เจ้าสแปมนี่ผมก็ชอบทานนะ มันทำจากหมูบด อารมณ์คล้ายๆ ไส้กรอกผสมกับแฮม เอาไปทอดให้กรอบๆ หน่อยก็อร่อยดี หรือหั่นเป็นลูกเต๋าแล้วทอดให้กรอบ ผัดกับผักก็เข้ากันดี แต่สำหรับผมมันก็ไม่ได้ราคาถูกมากมายนะ ก็พอๆ กับราคาไส้กรอกนั่นแหละ
โดยส่วนตัวของผมแล้วบะหมี่สำเร็จรูป เป็นอาหารที่ผมชื่นชอบมาก ไม่ใช่เพราะมันง่าย เพราะมันราคาถูก แต่ผมชอบเพราะมันถูกปาก แต่แม่ก็ไม่ชอบให้กินมาก โดยบอกว่ามันใส่ผงชูรสเยอะและสารอาหารน้อย แต่แม่หารู้ไม่ว่า ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยมันใส่ผงชูรสเยอะกว่าซะอีก ตอนแรกๆ เราก็นึกว่าน้ำตาลเห็นใส่เป็นช้อนๆ ปรากฎว่ามันคือผงชูรสนั่นเอง

จะว่าไปแล้วก๋วยเตี๋ยวนี่ใส่ผงชูรสเยอะมาก ตั้งแต่น้ำซุปในหม้อ เคยมีโอกาสเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเตรียมน้ำซุป เขาใส่ผงชูรสซองเล็กทั้งถุง ตามด้วยเกลืออีกถุง นอกจากนั้นพวกอาหารตามสั่งก็ใส่ด้วยเช่นกัน มีครั้งนึงตักพริกน้ำปลา เห็นมีเกล็ดเล็กๆ ติดอยู่ที่ช้อน ปรากฎว่าไม่ใช่น้ำตาลทราย มันคือผงชูรสอีกแล้ว ไม่ทราบว่าจะกระตุ้นต่อมรับรสของคนกินไปถึงไหน จึงได้ใส่มันซะในทุกขั้นตอนของการทำอาหาร
กลับมาที่เรื่องบะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ ไวไว โดยเฉพาะรสต้นตำรับ ในรูปทางซ้ายมือ ข้างหลังซองจะมีรูปเด็กทานบะหมี่อยู่ ว่ากันว่าคือ ดาราชาย เพ็ญเพชร เพ็ญกุล ยามเป็นเด็ก ไวไวรสนี้จะมีเส้นที่เหนียวและเค็ม เหมาะกับการนำไปทำยำมาม่ามาก (ยำไวไวนั่นแหละ) อีกรูปก็คือรสต้มยำ (ทางขวามือ) เป็นที่น่าเสียดายมากที่รสต้มยำแบบทางขวามือนี้ไม่มีขายในประเทศไทยแล้ว แต่ว่าโชคดีมากผมได้มาเจอมันขายอีกครั้งในอเมริกา นับเป็นเรื่องดีๆ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมพบที่นี่เลยทีเดียว

รสต้มยำของไวไว ในปัจจุบันไม่ถูกปากผมอย่างแรง มันรสเผ็ดแบบจางๆ ไม่เข้มข้นเหมือนแบบดังเดิม ที่มีน้ำพริกเผาซองโตเพียงซองเดียว แต่เข้มข้นมาก นอกจากนั้นเส้นของไวไวควิกมันก็บางๆ ไม่มีความเหนียวเอาเสียเลย ถ้าเสียงเบาๆ ของผมส่งไปถึงบริษัทไวไวได้ ก็หวังว่าจะได้เห็นไวไวรสต้มยำแบบดั้งเดิมวางขายในไทยอีกครั้ง เรารู้ว่าคุณยังผลิตอยู่นะ แต่ไม่ขายเท่านั้นเอง :’(
บะหมี่สำเร็จรูปที่ผมชอบก็คือ เมียวโจ้ หลังจากที่เมียวโจ้ถูกเทคโอเวอร์โดยมาม่าก็หายไปจากตลาดเมืองไทย เมียวโจ้มีเส้นและรสที่อร่อยมาก โดยเฉพาะรสหมูย่าง และรสเป็ดพะโล้ แต่เหมือนฟ้าผ่าสองครั้งในที่เดียวกัน ผมก็ได้มาเจอเมียวโจ้รสเป็ดพะโล้ที่อเมริกาเช่นกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็นมาม่าเท่านั้นเอง รสชาติยังคงเหมือนเดิม แต่หาได้แค่รสเป็ดพะโล้อย่างเดียว

เคยได้ยินโฆษณาบะหมี่สำเร็จรูปเก่าๆ ซึ่งมีประโยคที่ผมจำได้คือ “...ชีวิตมันไม่ได้สำเร็จรูปเหมือนบะหมี่…” แต่ผมก็คิดว่าแม้ชีวิตมันจะสำเร็จรูป หรือดูจะถูกกำหนดเป็นสูตรสำเร็จไว้แล้ว เช่น เรียน สอบ แข่งกันหางานให้ได้เงินเยอะ พยายามมีครอบครัวที่มั่นคง แต่เราก็เติมสิ่งดีๆ หรือสีสันให้กับชีวิตได้ เช่นเดียวกับการเติมหมู ไก่ กุ้ง ไข่ หรือผักเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับบะหมีสำเร็จรูปได้เช่นกัน

ขณะจะจบบทความนี้ก็มีเสียงเพลงแว่วเข้ามาในหู ซึ่งเป็นเพลงโฆษณาบะหมี่สำเร็จรูปอีกเช่นกัน จำได้แค่ประโยคเดียวนี่แหละ
"...ก็แค่เส้นบางๆ ระหว่างทางของเรา..."
(เขียนเมื่อ ๗ กันยายน ๒๕๕๑)

ส่งเสียงดังทำไม

หมายเหตุ - เรื่องนี้ผมจำไม่ได้ว่าอ่านมาจากที่ไหนเหมือนกัน (ขออภัยเจ้าของเรื่องด้วย) ซึ่งเนื้อเรื่องมันอาจจะมีความผิดเพี้ยนไปบ้างจากการแต่งเติมของผม แต่ก็คิดว่าคงไม่มากจนทำให้เนื้อหาหลักของเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปจนผิดจุดมุ่งหมายของเรื่อง


ณ วัดเซนแห่งหนึ่ง ทุกๆ คืนพระในวัดจะต้องนั่งสมาธิรวมกันในอาราม พระทุกรูปไม่ว่าจะอาวุโสสูงหรือต่ำแค่ไหน ก็นั่งอยู่ในห้องเดียวกันทั้งหมด ความเงียบเป็นสิ่งที่ำสำคัญมากในการทำสมาธิ ดังนั้นการส่งเสียงดังและการพูดคุยจึงเป็นสิ่งต้องห้ามที่รุนแรงมาก และถือเป็นการผิดกฏของวัดขั้นรุนแรง ในคืนหนึ่งมีพระหนุ่มรูปใหม่เข้ามาที่วัดนี้ ซึ่งพระรูปดังกล่าวก็ต้องเข้าร่วมการนั่งสมาธิด้วย
ในคืนดังกล่าว ในห้องนั่งสมาธิ พระหนุ่มเมื่อนั่งสมาธิไปได้สองสามชั่วโมง ก็เกิดความเมื่อยตัวอย่างรุนแรง ด้วยความที่ยังใหม่และขาดความอดทนอดกลั่นต่อความเมื่อยขบที่รุมเร้า ทำให้พระหนุ่มส่งเสียงบ่นออกมา ซึ่งแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงพระหนุ่มก็จะส่งเสียงครวญครางออกมา พระรูปอื่นก็ได้ยินเสียงดังกล่าว อย่างไรก็ตามพระบางรูปที่อยู่ในสภาวะที่จิตมั่นก็จะไม่ได้รับการรบกวนจากเสียงรบกวนนั้น
แต่เนื่องด้วยสภาพการตั้งจิตของพระแต่ละรูปไม่เหมือนกัน พระอาวุโสรูปหนึ่งจึงส่งเสียงออกมาตักเตือนให้พระหนุ่มหยุดการส่งเสียงรบกวนผู้อื่น โดยกล่าวว่า “เจ้าจะส่งเสียงดังทำไม ไม่รู้หรือว่าการส่งเสียงดังระหว่างการทำสมาธิเป็นการผิดกฎข้อห้ามอย่างรุนแรง” พระหนุ่มจึงกล่าวว่า “ข้าก็รู้ว่าทำผิดนะ แต่มันเกินจะทนจริงๆ ข้าไม่สามารถต้านทานกับความเมื่อยขบที่รุนแรงได้จึงต้อง ส่งเสียงออกมา”
บทสนทนาระหว่างพระสองรูปก็ดำเนินไปอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พระอีกรูปก็ส่งเสียงดังออกมาว่า “ทำไมพวกเจ้าสองคนจึงส่งเสียงดังในเวลาทำสมาธิ หากจะตักเตือนกันทำไมไม่รอให้จบช่วงการนั่งสมาธิก่อน เจ้าทั้งสองควรรู้สึกละอายที่ทำเช่นนี้ เพราะรบกวนคนอื่นที่นั่งสมาธิอยู่”
เวลาผ่านไปไม่นานห้องทำสมาธิทั้งห้องก็กลายสภาพเป็นเหมือนตลาดสดที่ทุึกคนกล่าวโทษกันไปโทษกันมา และการนั่งสมาธิรวมในคืนนั้นก็ล้มเหลวในที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าคนทุกคนที่กล่าวโทษผู้อื่น ก็เป็นคนที่ทำผิดกฎเหมือนกัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ......

(เขียนเมื่อ ๒ กันยายน ๒๕๕๑)

บางแก้วอาวุโส

จอห์นเป็นสุนัขพันธ์บางแก้วที่พี่สาวของผมซื้อมาเลี้ยงตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งในขณะนั้นบ้านของผมมีสุนัขอยู่สามตัว โดยมีพี่ใหญ่ชื่อเจ้าแย๊ปเป็นสุนัขพันธุ์ไทย (ตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน) และก็มีสุนัขบางแก้วอีกสองตัวชื่อโจและดี้ (ปัจจุบันทั้งสองอายุประมาณ 13 ปี) ตามลำดับ

ถ้านับตามลับอาวุโสในกลุ่มสุนัขด้วยกัน จอห์นก็นับเป็นน้องคนสุดท้อง อย่างไรก็ตามในสายตาของจอห์น มันนับถือเจ้าแย๊ปเพียงตัวเดียว โดยมันจะยอมเจ้าแย๊ปเป็นส่วนใหญ่ สำหรับอีกสองตัว จอห์นมันนับว่าอยู่ในระดับเดียวกับมัน โดยทั้งสองก็เป็นเหมือนลูกน้องเจ้าแย๊ปเหมือนกัน

สำหรับจอห์นกับโจซึ่งเป็นบางแก้วตัวผู้เหมือนกัน จะไม่ถูกกันมาก โดยส่วนใหญ่จะมีมูลเหตุจากการอิจฉาเรื่องของกิน และจอห์นเป็นหมาที่ได้นอนอยู่ในบ้าน ต่างกับตัวอื่นโดยจะนอนอยู่ในครัว โดยแม่จะล่ามโซ่ไว้เวลานอน ไม่งั้นมันก็จะไปค้นหาของกินจากถังขยะ (ทำตัวเหมือนสุนัขอดอยากมาก)

ปัญญาการนับอาวุโสของจอห์นกับสุนัขตัวอื่นภายในบ้าน ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่กับผมนี่ล่ะสิที่เป็นปัญหา ในตอนที่ซื้อจอห์นมานั้น ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ดูแลมันตั้งแต่ยังเด็กๆ มานอนเล่นอยู่ในครัวในตอนกลางคืนเป็นเพื่อนมันในบางครั้ง เพราะตอนมาใหม่ๆ คาดว่ามันจะคิดถึงแม่ของมัน ร้องตลอดเวลาตอนกลางคืน คงจะกลัวด้วยมั้ง ซึ่งการที่นำมันมานอนในครัวตั้งแต่เด็กทำให้มันเคยชินและไม่ยอมนอนข้างนอกบ้านอีกเลย
พอเลี้ยงจอห์นอยู่ได้ไม่กี่เดือนผมก็ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจอห์นก็ยังอายุไม่กี่เดือน ยังไม่ผลัดขนนุ่มๆ ของมันเป็นบางแก้วที่โตเต็มวัย ซึ่งการที่เป็นหมาเด็กตัวใหม่ในบ้าน คาดว่าจอห์นคงถูกตามใจอย่างมาก ได้กินอะไรมากกว่าคนอื่น (สุนัข) เนื่องจากเวลาอยู่ในครัวเวลาใครอยู่มันก็จะคอยขอของกิน โดยทำหน้าตาน่ารัก ยกมือเป็นระวิงเพื่อสะกิดเรียกร้องความสนใจ

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผมเรียนจบกลับมาอยู่บ้าน สำหรับเจ้าสามตัวนั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะว่าอยู่กันมาหลายปี ไม่นานมันก็จำได้ สำหรับเจ้าจอห์นซึ่งมันจำไม่ได้ว่าผมเคยรู้จักกับมันมา เพราะไปตั้งแต่มันยังเด็ก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่ามันจะยอมรับผมเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน (ในสายตาของมัน)

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจอห์นจะให้การยอมรับผมเป็นสมาชิกในบ้าน แต่ว่าความนับถือที่มีต่อผมมันน้อยกว่าเจ้าแย๊ปซึ่งเป็นสุนัขพี่ใหญ่ ผมอยู่ในระดับอาวุโสที่ต่ำที่สุดเพราะว่าเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน !!! สำหรับผมซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องในบ้าน ซึ่งมีอาวุโสต่ำสุดมาตลอด เรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย .... แต่มันคาดไม่ถึงเท่านั้นว่าผมจะมีอาวุโสต่ำกว่าสุนัข

ผมเป็นสมาชิก (มนุษย์) คนเดียวในบ้านที่จอห์นจะขู่ เวลาที่ทำอะไรให้ไม่พอใจ หรือแม้แต่เวลากลับบ้านดึกๆ แล้วเดินเข้าห้องครัว มันก็จะขู่ เพราะว่าเหมือนไปรบกวนที่พักผ่อนของมัน และเวลาเล่นกับมันแรงๆ มันก็จะแรงกลับ มีหลายครั้งที่ผมเป็นแผลเพราะเขี้ยวของมัน ซึ่งบางครั้งก็โกรธและทะเลาะกับมัน บางทีก็งอนไม่เล่น ไม่คุย กับมันหลายวัน ทำให้มันซึมไปเหมือนกัน จนแม่ต้องบอกว่า “ไปทะเลาะกับมันทำไม มันเป็นหมา มันไม่รู้เรื่อง” ... ไม่จริงครับ มันรู้เรื่อง รู้ดีเสียด้วย เจ้านี่มันร้าย

อย่างไรก็ตามมันก็เชื่อฟังผมในบางครั้ง เช่นเวลาเรียกให้ไปเข้ากรง มันก็เข้า ทำให้ผมพอมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่บ้าง

แต่ว่าในสายตาของจอห์น ผมก็เป็นเพื่อนที่ดีของมันคนหนึ่ง เพราะเป็นไม่กี่คนในบ้านที่สามารถเล่นแรงๆ กับมันได้ เช่น แย่งของกัน วิ่งไล่จับ มันก็ดีใจทุกครั้งที่ผมกลับบ้านเร็ว มีหลายครั้งที่มันดีใจมาก จนฉี่ราด เวลาที่ผมกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก แต่ว่าพอกลับเข้าไปในครัวที่เป็นที่มั่นของมัน มันก็จะขู่ผมเหมือนเดิม แม่ก็มักจะบอกว่า “มันขู่เพราะอยากเล่นด้วย” เพื่อไม่ให้เราทะเลาะกัน... แต่สำหรับผมคิดว่ามันขู่จริงๆ นะ

(เขียนเมื่อ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๑)

ยังไม่ประคองถ้าเธอล้ม ถ้าเธอลุกขี้นยืนได้เองไหว

มีหลายครั้งเหลือเิกินที่ผมรู้สึกว่าอยู่ดีๆ ก็มีเพลงบางเพลง ถ้อยคำของเพลง มันดังอยู่ในหัว แล้วมันก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่บางทีที่มีเหตุการณ์มาสะกิดใจก็จำทำใ้ห้นึกถึงเพลงบางเพลงเช่นกัน เช่น ตอนฝนตกก็จะนึกถึงเพลง “ฝน” ของเบิร์ดกับฮาร์ต ไม่ก็เพลง “เล่าสู่กันฟััง” ของพี่เบิร์ด

ขณะนี้อยู่ดีๆ เพลง “ไม่รักแต่คิดถึง” ของเฉลียงมันก็ดังอยู่ในหัว โดยเฉพาะท่อนสร้อยที่ว่า “ยังไม่ประคองถ้าเธอล้ม ถ้าเธอลุกขึ้นยืนได้เองไหว” ซึ่งเพลงท่อนนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมา ...

สมัยที่ยังเด็กมากๆ ประมาณชั้นประถม ผมเป็นคนที่ชอบหาสัตว์ต่างๆ มาเลี้ยง เช่น ปลา และแมลงต่างๆ และแมลงที่ผมชอบนำมาเลี้ยงก็คือหนอนแก้ว หนอนแก้วหาไม่ยากเพราะว่าที่บ้านปลูกต้นส้มจี๊ด ซึ่งก็จะมีผีเสื้อหนอนแก้วมาไข่ ผมก็จะเก็บหนอนพวกนั้นมาเลี้ยงไว้ในกล่องหรือขวด

ในช่วงระยะแรกหนอนแก้ว จะมีสีน้ำตาลออกไปทางดำๆ ดูไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ หลังจากนั้นมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั้งตัว มีจุดใหญ่ๆ สองจุดอยู่ที่หัว ซึ่งดูคล้ายกับตาของมันมาก หนอนแก้วจะกินจุมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มันเป็นสีเขียวทั้งตัว ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นก็ต้องเตรียมหากิ่งไม้มาให้มันเกาะในช่วงที่เป็นดักแด้

ก่อนที่หนอนจะเป็นดักแด้มันจะเกาะที่กิ่งไม้นิ่งๆ ตัวของมันก็จะแข็งและตึงมาก ในที่สุดผิวภายนอกก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นเปลือกแข็งๆ สีเขียว หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จากเขียวเป็นน้ำตาล ผ่านไปหลายสัปดาห์มันก็จะออกมาเป็นผีเสื้อในที่สุด

หลายครั้งที่ผีเสื้อออกไปจากดักแด้โดยที่ผมไม่มีโอกาสเห็น ทิ้งไว้แค่เปลือกเปล่าๆ แต่ว่ามีีครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเห็นเจ้าผีเสื้อกำลังแทรกตัวออกจากดักแด้ มันพยายามใช้ขาและปีกดันเปลือกดักแด้ให้แตก

ด้วยความที่หวังดีอยากให้ผีเสื้อไ้ด้ออกมาโบยบินเร็วๆ ผมก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดอย่างหนึ่ง โดยการช่วยแกะเปลือกดักแด้ออก แต่ทว่าเจ้าผีเสื้อตัวนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสกางปีกและบินไปสู่โลกกว้างอย่างที่ผมตั้งใจไว้ มันร่วงลงมา ปีกของมันอ่อนปวกเปียกและตายในที่สุด

ภายหลังผมถึงได้รู้ความจริงว่า การที่ผีเสื้อพยายามแทรกตัวออกจากดักแด้นั้น เป็นการกระตุ้นให้มันได้ออกแรง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่หลับไหลมานาน และทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงปีกของมัน และทำให้มันโบยบินได้ในที่สุด ...

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เด็กยิ่งล้มยิ่งโตไว” มันก็คงจะจริงในกรณีที่เด็กสามารถพยายามลุกขึ้นเองได้ เขาก็จะเีรียนรู้ที่จะลุก และจะระวังที่จะไม่ล้มในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งผมก็ถือว่าคือการเติบโต แต่ก็มีหลายกรณีในปัจจุบันที่เด็กล้มไปแล้ว และก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก หรือหมดความตั้งใจที่จะลุกขึ้น และหมดอนาคตไปอย่างน่าเสียดาย

หลายครั้งที่ผมเห็นคนที่รักสะดุดล้มแต่ก็ไม่ยอมเข้าไปช่วย เพราะต้องการให้เขาเข้มแข็ง ซึ่งก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการทำให้เขารับรู้ว่าเราเป็นห่วง และจะเข้าไปช่วยแน่ๆ ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงของเขาจริงๆ

ตอนนี้หลานของผมก็อายุจะ 2 ขวบแล้ว เนื่องจากเป็นหลานคนแรกของบ้าน รอบตัวของเขาก็เต็มไปด้วยคนที่พร้อม ที่จะพยายามไม่ให้เขาล้ม และอุ้มเขามาปลอบเมื่อล้มลงไปแล้ว ผมก็หวังว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างเข้มแข็งโดยล้มให้น้อยที่สุด และเมื่อเขาล้ม ก็หวังว่าเขาจะมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง เป็นเด็กที่เข้มแข็งและมีจิตใจสดใส โดยรับรู้ว่ามีคนที่จะคอยอุ้มเขาขึ้นมา ถ้าเขาไม่ไหวจริงๆ


ไม่รักแต่คิดถึง
โดย เฉลียง
ชีวิตบางช่วงที่เกี่ยวกัน เราได้แลกเปลี่ยนซึ่งความฝันหลายครั้งหลายหน... หัวใจไม่ตรงกัน แต่รู้กันต่างคนมีน้ำใจ
เธอไม่ต้องนวลอย่างดวงจันทร์ และฉันไม่ใช่ดวงตะวันฉายเราเพียงเป็นคน คบกันตามสบาย เมื่อร้างไกลห่วงใยก็แล้วกัน
* ไม่สำคัญ...ว่าเธอมีใคร ไม่ใช่กงการอะไรของฉันไม่สนใจเมื่อเธอสุขสันต์ ขอรู้เพียงวันที่เธอไม่มีใครยังไม่ประคองถ้าเธอล้ม ถ้าเธอลุกขึ้นยืนได้เองไหวขอรู้....ขอเห็นว่าเธอเดินเองได้ จะขอมองดูไกลๆ อย่างชื่นชม
(ซ้ำ *)
ไม่สำคัญ....ว่าเธอมีใคร ไม่ใช่กงการอะไรของฉันต่างหนทางของต่างเรานั้น ถึงแม้ว่าเราจะไกลซักเพียงไหน
ไม่รักแต่คิดถึง ไม่รักแต่คิดถึงไม่รักแต่คิดถึง
ไม่รักแต่คิดถึงไม่รักแต่คิดถึง ไม่รักแต่คิดถึงไม่รักแต่คิดถึง ไม่รักแต่คิดถึง...
(เขียนเมื่อ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๕๑)

เรื่องของเฉียวฟง

เฉียวฟงเป็นตัวละครที่มีบทบาทเด่นคนหนึ่งในนิยายจีนเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า” แต่งโดย “กิมย้ง” นักเขียนซึ่งมีผลงานที่มีชื่อเสียงคือ “มังกรหยก” ผมได้อ่านแปดเทพอสูรมังกรฟ้าเมื่อเกือบสิบปีก่อนโดยยืมมาจากเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนิยายเรื่องยาวประมาณขนาดพ๊อกเกตบุ๊ค 6-8 เล่มได้ แต่ว่าผมก็อ่านจบภายในไม่กี่วัน เนื่องจากอ่านแบบหามรุ่งหามค่ำมาก เพราะมันเป็นนิยายที่ผมวางไม่ลงจริงๆ

แต่ว่าไม่นานมานี้ก็ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับแปดเทพอสูรมังกรฟ้าอีกจากหนังสือชื่อ “สามก๊กฉบับคนกันเอง เล่มสอง” ซึ่งพี่ชายส่งมาให้ หนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่แล้วกล่าวถึงเนื้อหาในเรื่องสามก๊ก แต่ว่าก็มีบางบทกี่กล่าวโยงไปถึงนิยายจีนหลายๆ เรื่อง และเรื่องหนึ่งที่ได้มีการกล่าวถึงก็คือแปดเทพอสูรมังกรฟ้า

ผมคงไม่กล่าวถึงเนื้อหาโดยย่อของเรื่อง แต่จะกล่าวถึงชีวิตบางส่วนของเฉียวฟงซึ่งเป็นตัวละครที่เป็นตัวเดินเรื่องที่สำคัญ เฉียวฟงเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่สูงสำหรับคนในวัยประมาณ 30 ย่าง 31 ปี (เมื่อเทียบกับผมในวัยเดียวกันก็เป็นได้แค่สมาชิกกลุ่มเหียก) เฉียวฟงมีวรยุทธ์สูง ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสมาชิกพรรคและชาวยุทธ อย่างไรก็ตามโดยชาติกำเนิดแล้วเฉียวฟงไม่ใช่ชาวฮั่น แต่เป็นชาวซิตันซึ่งเป็นอีกเผ่าที่เป็นปรปักษ์กับชาวฮั่น เฉียวฟงเองก็ไม่ได้ทราบความจริงนี้มาก่อน

เมื่อความจริงนี้ถูกเปิดเผยออกไปทำให้ชาวยุทธในจงหยวน (แผ่นดินของชาวฮั่น) เกิดความไม่ไว้วางใจเฉียวฟงเนื่องจากมีชาติพันธุ์ที่แตกต่างจากชาวฮั่น และเนื่องด้วยมีสมาชิกพรรคบางคนต้องการกำจัดเฉียวฟงเพื่อผลประโยชน์ ทำให้มีการกล่าวหาเฉียวฟงในคดีฆาตกรรมต่างๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของเฉียวฟง ทั้งที่เฉียวฟงไม่ได้เป็นคนทำ กล่าวง่ายๆ ก็คือ พอเกิดเรื่องชั่วร้ายในยุทธภพก็กล่าวหาเฉียวฟงไว้ก่อน

ในนิยายจีนหลายๆ เรื่อง มักมีการแบ่งจอมยุทธ์ออกเป็นสองข้างก็คือ ฝ่ายธรรมะ กับฝ่ายอธรรมหรือพรรคมาร แต่เท่าที่ได้อ่านมาการกระทำของฝ่า่ยที่เรียกว่าธรรมะนั้นก็ไม่ต่างจากพรรคมารเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น พวกจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะมักกล่าวว่ากำจัดคนชั่วใช้วิธีที่ผิดคุณธรรมได้ การใช้ยาพิษ การใชุ้ตัวประกัน หรือการกลุ้มรุมโจมตี ก็สามารถทำได้ จริงๆแล้วการแบ่งเ็ป็นพรรคเทพพรรคมารก็เป็นแค่สัญญลักษณ์เท่านั้น ดีชั่วขึ้นอยู่กับการกระทำจริงๆ ต้องแยกแยะเป็นกรณีๆ ไป พรรคมารก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายเสมอไป และฝ่ายธรรมะก็ทำเรื่องผิดคุณธรรมได้

มีฉากหนึ่งในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าที่ผมสะท้อนใจมากก็คือ ฉากที่เฉียวฟงพาคนรักไปให้หมอเทวดารักษา ซึ่งชาวยุทธ์ทั้งหลายก็มารวมตัวกันเพื่อกำจัดเฉียวฟง ไม่ว่าเฉียวฟงจะอ้อนวอนขอการรักษาอย่างไร ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็ไม่ยอม เพราะว่าเห็นนางมากับเฉียวฟง ฉากต่อสู้ในการชุมนุมชาวยุทธ์นี้เป็นฉากที่สะใจคอซาดิสม์มาก หลังจากที่เฉียวฟงได้ดื่มเหล้าตัดสัมพันธ์กับชาวยุทธ์ทั้งหมด ก็ฆ่าเหล่าชาวยุทธ์ตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งที่พวกนั้นรุมแบบหมาหมู่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเฉียวฟงมีฝีืมือสูง

ในที่สุดกว่าชาวยุทธ์ทั้งหลายจะรู้ว่าเฉียวฟงเป็นผู้บริสุทธ์ก็ทำให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งสองฝั่ง ถามว่าเฉียวฟงผิดไหม ผมก็ว่าไม่ผิดเพราะก็ต้องทำเพื่อปกป้องตัวเองกับคนที่เขารัก ส่วนชาวยุทธ์ทั้งหลายก็ไม่ผิด แต่ว่าขาดการไตร่ตรอง เนื่องจากชาติพันธุ์ของเฉียวฟงตางจากพวกเขา และประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน สามารถปลุกระดมให้คนเข้าร่วมได้โดยง่าย (อย่างที่เราเคยเห็นมาในอดีต เช่น ลัทธิชาตินิยม การต่อต้านคอมมิวนิสต์)

สำหรับคนที่สร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อฝ่ายตรงข้าม ประเด็นละเอียดอ่อนอย่างที่ได้ยกตัวอย่างมา เป็นประเด็นที่รวมกลุ่มคนให้เข้ามาร่วมได้โดยง่า่ย เป็นประเด็นที่ทำำให้เกิดการหน้ามืดตามัวขาดการไตร่ตรอง เมื่อสร้างกระแสได้แล้ว มันไม่ยากเลยที่จะเพิ่มประเด็นที่ “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” หรือ “ข่าวลือ” เข้าไปในการปลุกระดมนั้นด้วย เมื่อกลุ่มคนกำลังไหลไปตามกระแสของผู้ปลุกระดมแล้วความสามารถในการแยกแยะก็จะลดลง อุปมาเหมือนคนที่ำกำลังลอยอยู่ในสายน้ำที่พัดเชี่ยว คนจะโยนดอกไม้หรือหมาเน่าลงมา ก็อาจแยกแยะไม่ได้ เพราะน้ำมันไหลเชียวเสียเหลือเกิน

จริงๆ แล้วเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้อมูลที่เราเสพย์อยู่ทุกวันนี้มีส่วนที่เป็น “ข้อเท็จจริง” มากน้อยเพียงไร จึงต้องใช้สติไตร่ตรองให้หนัก จากประสบการณ์ตรงของผมเอง เมื่อประมาณสี่ห้าปีก่อนมีกลุ่มคนมาประท้วงที่สถานที่ำทำงาน ซึ่งผมกะประมาณดูก็ประมาณ 1-2 พันคนได้ เนื่องจากสถานที่ำทำงานมีเนื้อที่เล็กมาก พอวันรุ่งขึ้นอ่านหนังสือพิมพ์ก็มีการลงข่าวว่ามีผู้มาประท้วง 7-8 พันคน ซึ่งไม่มีทางที่มันจะเยอะขนาดนั้นเพราะมีเนื้อที่นิดเดียว เมื่อมันเป็นอย่างนี้ผู้ที่ไม่ได้สัมผัสกับข้อเท็จจริงโดยตรงไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเรื่องราวจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร

การมีชีวิตในสังคมปัจจุบันนี้ จึงต้องใช้สติตรึกตรองให้หนัก เมื่อต้องการตัดสินใจอย่างไรต้องหาข้อมูลหลายด้านประกอบกัน อย่าให้ไหลไปตามกระแส อย่างเช่นในนิยายจีน วิญญูชนจอมปลอมหลายคนสามารถกล่าวความเท็จ ยกตนเป็นคนดีมีคุณธรรม และกล่าวหาใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นคนร้าย ตัวอันตรายสำหรับยุทธภพได้อย่างไม่กระดากปาก และที่น่าเศร้าคือ นอกจากในนิยายจีนแล้ว ในโลกแห่งความจริงก็มีวิญญูชนจอมปลอมเหล่านี้อยู่ด้วย

ในขณะที่อ่านเรื่องเกี่ยวกับเฉียวฟง ผมก็นึกถึงเรื่องของบุคคลสำคัญท่านหนึ่งก็ ซึ่งสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยมากมาย แต่ก็ถูกขบวนการใส่ร้ายป้ายสีจนไม่สามารถกลับมาตายยังแ่ผ่นดินเกิดได้ ซึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ ... (อ่านเพิ่มเติมประวัติของท่านปรีดี ได้ที่ http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/index.htm)

เรื่องที่สะท้อนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ สภาพสังคมในขณะนี้เหมือนมีการบังคับให้เลือกข้างอย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนว่าแม้จะเลือกข้าง “ข้อเท็จจริง” ก็ไม่ได้ ... เมื่อหลายวันก่อนได้อ่านข่าวในเวบไซด์แห่งหนึ่ง ซึ่งผมว่ามันลงข้อเท็จจริงไม่ครบ จึงไปโพสในส่วนของความเห็น โดยโพส “ข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นกฎระเบียบที่มีอยู่ชัดเจน พออีกวันหนึ่งไปอ่านดู ก็มีคนมาโพสเพิ่มเติมต่อว่า ว่าเป็นอีกฝ่ายหนึ่งมาบ่อนทำลาย ด่าพ่อล่อแม่ตามระเบียบ ... อนิจจา

(เขียนเมื่อ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๑)

สามตัวร้อย

สามตัวร้อยนี่ถ้าได้ยินลอยๆ ก็คงเข้าใจว่าเป็นราคาของขายตามตลาด เช่น กางเกงใน ปลาทู (ไม่รู้ว่าแพงหรือถูกกว่านั้นนะ) หรืออาจเป็นลูกหมา (ก็คงจะถูำกไป) แต่ไอ้คำว่า “สามตัวร้อย” ที่ผมพึ่งได้อ่านเจอมา มันมาจากการที่เพื่อนคนหนึ่งเอาไปโพสท์ไว้ในเวบบอร์ดของกลุ่มเพื่อนใน hi5
เรื่องของเรื่องก็คือว่าก็มีการโพสท์อวยพรวันเกิดให้เพื่อนที่เกิดเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา (พ.ค.) เนื่องจากว่าเพื่อนในกลุ่มของผมเกือบทุกคนก็อายุขึ้นต้นด้วยเลขสามกันแล้ว ก็เลยมีอีกคนมาโพสท์ว่า “ไอ้พวก 3 ตัว 100” แล้วก็มีอีกคนโพสท์ตามมาว่า “อย่าให้กูเจอที่ (ร้าน) นั่งเล่นตอนพวกเมิงเป็น 2 ตัว 100 ละกัน” จากนั้นก็มีอีกคนมาโพสท์ว่า “อีกซักสิบปีต่อจากนี้ อาจเจอ... (ขอสงวนนาม) ยืนย้วยคุยกะพวก 4 ตัว 100 อยู่ .. ก็เป็นไปได้”

ผมติดใจคำว่า “สามตัวร้อย” นี้มาก เพราะว่ามันจะว่าถูกก็ถูก สำหรับบางอย่าง จะว่าแพงก็ได้สำหรับของบางอย่าง (แต่เท่าทีรู้น้ำมันที่เมืองไทยเกิน 3 ลิตร 100 แล้ว) ซึ่งมันเข้ากันได้ดีสำหรับชีวิตในช่วงอายุนี้เหมือนกัน จะว่าดีก็ดีบางเรื่อง จะว่าแย่ก็มีหลายเรื่อง ทำให้รู้่ว่าการย่างเข้าอายุ 30 ปีนั้น ก็ไม่ได้ยากลำบากเลือดตากระเด็น แต่ก็ไม่ได้ง่ายราบรื่นไปซะทุกเรื่อง ก็เหมือนๆ กับช่วงชีวิตวัยอื่นๆ ที่ผ่านมาแล้ว แต่่ว่า ณ หลักกิโลเมตรที่ 30 นั้น ก็ถือเป็นจุดที่มองกลับไปเห็นอะไรที่ผ่านมาได้หลายๆ อย่าง และมองไปข้างหน้าก็เิริ่มเห็นอะไรที่จะเกิดขึ้นได้ชัดเจนในบางเรื่อง

ในวัย ณ ปัจจุบัน ก็นับว่าได้เรียนรู้อะไรในหลายๆ เรื่อง มีการสะสมข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น แต่บางทีการมีข้อมูลที่มากขึ้้นก็มีผลเสียคือ ทำให้ “คิดมาก” บางทีก็คิดมากไปซะจนไม่ได้ตัดสินใจ จนเมื่อถูกบีบด้วยเวลาจึงได้ตัดสินใจอย่างไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไหร่ นี่นับเป็นข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดระหว่างการตัดสินใจในช่วงวัยรุ่นถึงวัยรุ่นตอนปลาย (ช่วงที่ยังเป็น 5 ตัว 100 อยู่) ช่วงนั้นไม่ต้องคิดเยอะในการตัดสินใจ มองข้างหน้าและข้างหลังไปสั้นๆ แต่ ณ ปัจจุบัน มองข้างหลังไปเยอะ (ไม่รู้เพราะมีข้อมูล Historical data มากไปหรือเปล่า) และก็มองข้างหน้าไปไกลกว่าแต่ก่อนมาก

ถ้าจะบอกว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่ว้าวุ่นและสับสน ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเอง ณ วัย 30 ก็ยังคงเหมือนวัยรุ่นที่ว้าวุ่นและสับสนอยู่เหมือนกัน แต่เหตุผลหลักคงไม่ใช่การขาดประสบการณ์ หรือวุฒิภาวะทางอารมณ์ แต่เป็นเพราะการมองโลกที่มันซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้น มีการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันไปทุกเรื่องจนประมวลผลแทบจะไม่ออก ประสบการณ์ที่สูงขึ้นมาพร้อมกับภาระที่มากขึ้นเป็นลำดับ ถ้าจะตั้งเป็นชื่อหนังก็คงได้ประมาณว่า “หนุ่มใหญ่ หัวใจ (ยัง) ว้าวุ่น”

ส่วนทางด้านกายภาพก็นับว่ายังไม่แย่มาก ยังสามารถเล่นฟุตบอลและกีฬาชนิดอื่น กับพวก “5 ตัว 100” หรือ “4 ตัว 100” ได้ แต่ว่าความทนทานจะหายไปหน่อย เวลาเล่นฟุตบอลถ้าเร่ิงสปีดมากๆ ก็จะต้องยืนหอบประมาณสองสามนาที กว่าจะวิ่งได้ต่อ วัยขนาดนี้ถ้าเป็นนักฟุตบอลอาชีพก็ถือว่าเป็นช่วงปลายของอาชีพค้าแข้งแล้ว ต้องเตรียมผันตัวไปเป็นตัวสำรองอดทนหรือผู้จัดการต่อไป เพื่อนในกลุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกันก็หันไปเล่นกีฬาชนิดอื่นกันแล้ว เช่น กอล์ฟ เนื่องจากเล่นฟุตบอลกันไม่ไหว เนื่องจากต้องใช้คนมาก นัดกันลำบาก และเหนื่อยเกินไป

ส่วนเพื่อนในกลุ่มที่เมืองไทยซึ่งมีประมาณยี่สิบคน ก็มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา สี่ห้าคนก็แต่งงานไปแล้ว สองคนกำลังจะแต่ง สองคนมีลูกไปแล้ว ส่วนใหญ่ทำงานเอกชน สามคนรับราชการ บางคนติดเกมส์ออนไลน์ อีกหนึ่งคนยังคงเป็นนักเรียนโข่ง ก็หวังว่าชีวิตคงจะไม่แย่เกินไปเมื่อเรากลายเป็น พวก “2 ตัวครึ่ง 100” หรือ “2 ตัว 100” แต่ก็คงไม่หวังว่าชีวิตจะอยู่ยาวไปจนถึง “ตัวละ 100”

(เขียนเมื่อ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๑)

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผลจริงหรือ (1) : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับความสัมพัทธ์

คุณคิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจหรือเปล่า (Rational) ทำไมบางทีเราเห็นบางคนทำอะไรแปลกๆ ที่มันไร้เหตุผลสิ้นดี คำตอบสิ่งที่เห็นอาจเป็นเพราะความแตกต่างทางความคิดของบุคคลนั้นที่ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ของสังคม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนสัดส่วนไม่น้อยในสังคมทำอะไรที่มันไร้เหตุผล (คนส่วนนั้นคิดว่าทำไปอย่างมีเหตุผลแล้ว แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วมันไร้เหตุผล) จริงๆ แล้วคนเหล่่านั้นตัดสินใจพลาดเพราะว่าภาพลวงตานั่นเอง แล้วภาพลวงตานั้นมันเกิดได้อย่างไร มีกลไกการทำงานอย่างไร สามารถหาคำตอบบางส่วนในหนังสือที่ผมจะพูดถึง

ผมได้อ่านหนังสือชื่อ Predictably Irrational: The Hidden Forces That Shape Our Decisions ของ Dan Ariely ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ MIT, Sloan School of Management สอนทางด้าน Behavioral Economics ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจของมนุษย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ในปี 2002 Daniel Kahneman ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์จากการศึกษาในด้านนี้ ทำให้ความสนใจในสาขานี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในการทำวิจัยด้านการตลาด (Market research)

ในหนังสือเล่มนี้มีบทความที่น่าสนใจหลายบทความ อ่านไม่ยาก ไม่มีศัพท์ทางเทคนิคที่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจมากนัก ผมอ่านจนเกือบจบเล่ม ก็คิดว่ามีบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราหลายเรื่อง ที่ผมจะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ บางส่วนของเนื้อหาจากบทที่ 1 ในหนังสือ The Truth about Relativity

*ข้อความใน [ ] เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมของผมเอง
บทความกล่าวว่าการตัดสินใจของมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินคุณค่าสัมพัทธ์ (Relative value) นั่นก็หมายความว่าเราไม่สามารถประเมินของชิ้นหนึ่งๆ โดยตัวของมันเองได้ เราต้องมีของอีกสิ่งหนึ่งมาเปรียบเทียบ [ยกตัวอย่างเช่น ในวิชาเศรษฐศาสตร์ ทฤษฏีอรรถประโยชน์ (Utility Theory) โดยพื้นฐานจะเิริ่มมาจาก Preference relation คือ การจัดเรียง (ranking) ความชอบ (Preference) ระหว่างทางเลือกต่างๆ เช่น ขอบส้มมากกว่ากล้วย ชอบกล้วยมากกว่ามะละกอ]

ซึ่งการพิจารณาคุณค่าของทางเลือกโดยสัมพัทธ์นี่เอง ทำให้นักการตลาดบางคนสร้างภาพลวงตาให้กับผู้บริโภคได้ ลองพิจารณาดู ตัวอย่างข้อมูลการสมัครสมาชิกข้างล่างจาก The Economist
Online version : 59 USD
Print version : 129 USD
Print and online version: 129 USD
เห็นอะไรแปลกๆ หรือเปล่าครับ ถ้าจะให้เลือก คงไม่มีคนไหนที่จะเลือกสมัครทางเลือกที่ 2 แน่ๆ ในเมื่อสมัครทางเลือกที่ 3 คุณก็จะไ้ด้ทั้ง Print and online ในราคาเดียวกัน ทางเลือกที่ 2 สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทางเลือกที่ 3 นั้นดูดีขึ้น และทางเลือกที่ 3 นั่นเองที่ The Economist อยากให้คนเลือก

Dan Ariely จึงได้ทำการทดลองกับอาสาสมัคร 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก ใช้รูปแบบการสมัคร 3 ทางเลือกขั้นต้น โดยให้เลือกระหว่าง 3 ทางเลือก ผลที่ได้คือ
Online version = 16%
Print version = 0%
Print and online version = 84%
สำหรับการทดลองในกลุ่มที่สอง ทางเลือกที่ 2 ถูกตัดทิ้งออกไป ผลการทดลองที่ได้คือ
Online version = 68%
Print version = 32%

จากผลการทดลองทำให้เห็นได้ชัดว่า การสร้างทางเลือกที่ 2 (Print version) ขึ้นมาทำให้ ตัวเลือกที่ 3 นั้นดูดีขึ้น และทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าทางเลือกที่ 3 นั้นดีกว่าทางเลือกที่ 1 ซึ่งผู้เขียนใช้คำว่า Decoy Effect กับปรากฎการณ์นี้

ผู้เขียนยังได้ยกตัวอย่างของร้านอาหารในนิวยอร์ค ที่ได้ตั้งราคาอาหารจานหลักไว้ในระดับสูงที่ 39-41 USD ซึ่งทำให้รายได้รวมของร้านเพิ่มขึ้น แม้ว่าอาหารจานหลักจะขายไม่ได้เลยก็ตาม เพราะว่าคนทานจะเลือกทานอาหารจานที่แพงรองลงมาเพิ่มขึ้น


ภาพลวงตา: วงกลมตรงกลางในรูปทั้งสองมีขนาดเท่ากัน แต่ที่เราเห็นมันเท่ากันหรือเปล่า

กลไกการทำงานของ “ตัวลวง (Decoy)” สามารถอธิบายได้ดังนี้ พิจารณากราฟ สองกราฟข้างล่าง สมมุติว่า A และ B เป็นสินค้าสองชนิด ปัจจัย 1 และ 2 คือ คุณสมบัติของสินค้า เช่น สวยงาม และทนทาน จากกราฟทางด้านซ้ายจะเห็นได้ว่า สินค้าทั้งสองชนิดต่างมีข้อดีกันไปอย่างละข้อ ซึ่งผู้ซื้ออาจไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าของชนิดไหนดีกว่ากัน



ในกราฟทางขวา สมมุิติว่าผู้ขายเพิ่มสินค้า –A คือ สินค้าที่ด้อยกว่า A ทุกอย่างเข้ามา สมมุติว่าไม่มีสินค้า A ผู้ซื้อยังอาจไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า –A หรือ B นั้นดีกว่ากัน การเพิ่ม –A เข้ามาทำให้ A ดูดีมากขึ้นโดยสัมพัทธ์ในสายตาของผู้ซื้อ

ซึ่งผู้เขียนได้ทดลองกรณีนี้โดยใช้การเลือกหน้าตาของผู้ทดลองที่มีการทำให้ผิดแปลกไปจากหน้าเดิม (ซึ่งไม่ขอกล่าวในรายละเอียด) แต่ว่าผู้เขียนได้แนะนำว่า ถ้าอยากจะให้เราดูดีในสายตาคนอื่น ให้พยายามเดินกับเพื่อนที่หน้าตาคล้ายๆ เราแต่ว่าเราดูดีกว่า เพราะจะทำให้เราดูดีมากขึ้น :)

การเปรียบเทียบยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราด้วย ผู้เขียนได้ยกถึงบทสนทนากับผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเล่าว่า มีพนักงานคนหนึ่งเข้าพบและขอเงินเดือนเพิ่ม
ผู้บริหารก็ถามว่า “ตอนเข้ามาทำงานที่บริษัทคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่”
พนักงานตอบว่า “1 แสน”
ผู้บริหารจึงถามกลับไปว่า “แล้วตอนนี้ได้เงินเดือนเท่าไหร่”
พนักงานจึงตอบว่า “1 แสน”
ผู้บริหารจึงถามต่อไปว่า “คุณก็ได้เท่ากับที่คาดหวังไว้แล้วนี้ ทำไมจึงขอเพิ่มเงินเดือนอีกล่ะ”
พนักงานจึงตอบว่า “พอดีผมรู้มาว่าเพื่อนร่วมงานที่นั่งใกล้ๆ กัน กับผม ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่เหนือกว่าผม ได้เงินเดือน 3 แสน”

ผู้เขียนได้สรุปบทแรกของหนังสือได้ถูกใจผมมาก โดยกล่าวว่าธรรมชาติของคนเรามักเปรียบเทียบสิ่งที่เรามีอยู่กับสิ่งที่คนอื่นมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินหรือเกียรติยศ ทำให้คนเราต้องพยายามไขว่คว้าหามาเพิ่มเพื่อเติมความต้องการให้มันเต็ม ซึ่งวงจรของการเปรียบเทียบนี้มันจะเกิดขึ้นไปไม่หยุด ถ้าเราไม่รู้จักคำว่า “พอ”

(เขียนเมื่อ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑)

New Limits to Growth

ได้อ่านบทความจาก The Wall Street Journal เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 เรื่อง New Limits to Growth: Revive Malthusian Fears เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยเอามาลงในบล๊อก

มีเนื้อหาที่บทความนี้อ้างถึงสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ ทฤษฎีของ Thomas Robert Malthus ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์และประชากรศาสตร์ชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ช่วงปี ค.ศ. 1976-1834 Malthus เป็นที่รู้จักจากทฤษฎีด้านประชากรที่เรียกว่า Malthusian catastrophe โดยย่อ ทฤษฎีนี้กล่าวว่า “ทรัพยากรต่างของโลกจะไม่สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรได้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของทรัพยากร เช่น อาหาร จะเพิ่มแบบ Arithmetic (1+2+3...) ในขณะประชากรเพิ่มขึ้นแบบ Geometric (2x3x2… ลองคิดถึงดอกเบี้ยแบบทบต้น) ซึ่งในวันหนึ่งทรัพยากรก็จะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ และเป็นความหายนะ”

ส่วนอีกบทความหนึ่งที่มีการอ้างอิงก็คือ The Limits of Growth ซึ่งจัดทำโดย The Club of Rome ในปี 1972 ผมเคยซื้อไว้เล่มหนึ่งตอนไปตรวจน้ำมันที่ชลบุรีเมื่อสี่ห้าปีก่อน เจอในแผงขายหนังสือมือสองในตลาดนัด เป็นพ๊อกเกตบุ๊คเล่มเล็กๆ (อ่านเนื้อหาย่อๆ ได้ที่ http://www.clubofrome.org/docs/limits.rtf ) หนังสือพยายามบอกว่าถ้าเราคงอัตราการใช้ทรัพยากร การเพิ่มประชากร ในระดับปัจจุบัน (เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน) เราจะพบกับข้อจำกัดในศตวรรษข้างหน้าเนื่องจากทรัพยากรจะถูกใช้จนหมด

ส่วนแรกผมจะกล่าวโดยสรุปถึงเนื้อหาในบทความจาก WSJ ข้างต้น และจะแสดงความเห็นจากบทความนี้ในส่วนหลัง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

บทความกล่าวว่าในปัจจุบันประชากรของโลกซึ่งมีอยู่ประมาณ 6.6 พันล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 พันล้านคนในปี ค.ศ.2025 และประชากรในโลกก็มีอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ จากเทคโนโลยีโดยอายุขัยของคนในประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ประมาณ 80 ปี จากการที่คนเกิดเพิ่มขึ้นและมีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้น ทำให้ความต้องการทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งทำให้มีการหันกลับมามองแนวคิดของ Malthus และ Club of Rome อีกครั้ง

ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ ราคาน้ำมันและอาหาร รวมถึงสินค้าอื่นๆ ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แม้ว่ากลไกราคาจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดสรรทรัพยากร เมื่อสินค้าชนิดใดเกิดการขาดแคลน ราคาสินค้าชนิดนั้นจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผลดังกล่าวทำให้อุปสงค์ลดลงและกระตุ้นให้ิเกิดการพัฒนานวัตกรรมเพื่อทดแทนสินค้าชนิดนั้นๆ อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยข้อจำกัดทางการเมืองทำให้เราไม่สามารถตั้งราคาทรัพยากรทุกอย่างได้ ตามคุณค่าที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐและจีน รัฐไม่สามารถตั้งราคาน้ำเพื่อกระตุ้นการใช้ที่มีประสิทธิภาพได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรซึ่งใช้น้ำในราคาที่ต่ำมาก

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ หลายประเทศแทนที่จะบริหารจัดการเพื่อใช้ทรัพยากรของตนที่มีอยู่อย่างจำกัด กลับเน้นหนักไปที่การแย่งชิงทรัพยากร ยกตัวอย่างเช่น จีนมีหลายโครงการพัฒนาในอาฟริกาเพื่อเป็นลู่ทางในการเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้ น้ำมันและทรัพยากรอื่นๆ (มุมมองของเจ้าหน้าที่สหรัฐ) อินเดียซึ่งครั้งหนึ่งสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในพม่า แต่ในตอนนี้มีข้อตกลงทางการค้าหลายอย่างกับพม่า รวมทั้งสหรัฐและประเทศในยุโรป ซึ่งพยายามเข้าไปในประเทศเอเชียกลางซึ่งมีก๊าซธรรมชาติปริมาณมหาศาล

ทรัพยากรน้ำก็เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากราคาน้ำไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เช่นในสหรัฐเกษตรกรซึ่งใช้น้ำ 65% ของทรัพยากรทั้งหมดในประเทศ จ่ายค่าน้ำในราคาที่ต่ำมากใกล้ๆ ศูนย์ นอกจากนั้น Climate Change ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่ในโลก การทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืดก็ยังมีต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ในสหรัฐ ที่หลายรัฐมีข้อพิพาทด้านทรัพยากรน้ำ การต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์การใช้น้ำในอินเดีย และอาฟริกา ซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าสงครามกลางเมืองในอาฟริกามีความเกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลง

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่งก็คือการเติบโตของการใช้รถยนต์ในประเทศจีนและิอินเดีย ในปี 2005 จากประชากร 1,000 คนของจีนจะมีรถ 15 คัน ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับญี่ปุ่นในปี 1963 คือ 13 คัน ในขณะที่ปัจจุบันในญี่ปุ่น ประชากร 1,000 คนจะมีรถ 447 คัน ถ้าจีนอยู่ในระดับนั้นจะมีรถอยู่ 572 คัน (เทียบกับปริมาณรถในโลก ณ ปัจจุบันที่ 70 ล้านคัน) ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะหาน้ำมันจากไหนให้พอ ซึ่งปัจจุบันบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่สหรัฐซึ่งมีประชากรน้อยกว่า 1 ใน 4 ของจีนมีการใช้น้ำมันอยู่ที่ 20.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน


การเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการก็ก่อให้เกิดปัญหาเช่นกัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคเนื้อสัตว์ของประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ความต้องการและราคาของธัญพืชเพิ่มสูงขึ้น มีการประมาณว่าต้องใช้ธัญพืช 10 ปอนด์ในการเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู 1 ปอนด์ และถ้าเป็นเนื้อวัวสัดส่วนจะเพิ่มกว่าสองเท่า จากการสำรวจของ U.N. พบว่าตั้งแต่ปี 1990 คนจีนบริโภคหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆ เพิ่มขี้นกว่าสองเท่า ถ้ารวมไต้หวันไปด้วยการบริโภคหมูต่อปีจะสูงถึง 11 พันล้านปอนด์ เทียบเท่ากับที่คนอเมริกันบริโภคใน 6-7 เดือน

ทางออกในการแก้ปัญหาทรัพยากรที่จำกัดอาจสามารถบรรเทาได้โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค การพัฒนาเทคโนโลยี และการตั้งราคาทรัพยากรที่เหมาะสม

จากบทความดังกล่าวผมมีข้อสังเกตย่อๆ จากความรู้สึกของผมประชากรของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอาจมีอคติบ้าง ดังนี้

ผมเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงที่บทความนี้กล่าวถึง เรื่องที่ทรัพยากรอาจไม่สามารถรองรับความต้องการในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม โทนของบทความดังกล่าวเหมือนจะชี้ให้เห็นว่าถ้าประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจีนกับอินเดียยกระดับความเป็นอยู่และใช้ทรัพยากรในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว โลกจะประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรอย่างรุนแรง

คำถามที่เกิดขึ้นในใจผมคือ ทำไมจึงจะเกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรเมื่อประเทศกำลังพัฒนาบริโภคในระดับเดียวกันกับประเทศพัฒนาแล้ว หรือว่าประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้บริโภคมากเกินไปเมื่อเทียบกับส่วนแบ่งทรัพยากรในโลก สหรัฐมีประชากรประมาณ 5% ของโลก แต่บริโภคน้ำมัน 25% ของความต้องการในโลก (แต่่ว่าคนจีนกินหมูมากขึ้นก็สร้างปัญหาให้โลกได้ หรือคนอินเดียจะใช้รถมากขึ้นก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม)

ปัญหาที่เกิดเป็นเพราะบรรทัดฐานของประเทศพัฒนาแล้วสืบเนื่องมาตั้งแต่ลัทธิล่าอาณานิคม คนในประเทศเหล่านี้บริโภคมากเกินไป และบริโภคทรัพยากรของประเทศอื่นๆ ไปด้วย ประเทศในยุโรปขุดถ่านหินขึ้นมาเผาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ฟืนและไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ปล่อย CO2 สุทธิเท่ากับศูนย์

ประเทศพัฒนาแล้วนั่นแหละควรจะลดความต้องการการใช้ทรัพยากรลง
แม้ราคาจะเป็นสิ่งที่สะท้อนมูลค่าทางเศรษฐกิจของทรัพยากร แต่เราก็ไม่สามารถตั้งราคาทุกอย่างได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ในอนาคตเราอาจต้องซื้อออกซิเจนเพื่อหายใจ

(เขียนเมื่อ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๑)

เป็นหวัด ร้อนใน และใจเหงา

ช่วงนี้เป็นหวัดครับ สงสัยจะเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (และมาก) จากวันที่หิมะตกอุณหภูมิ -2 องศาเซลเซียส มาเป็น 20 องศาเซลเซียสภายในสองสามวัน เรียกว่าจากเย็นโคตรมาเป็นอุ่น สำหรับผมตอนนี้อุณหภูมิประมาณสิบกว่าองศาก็รู้สึกอุ่นจนถึงร้อนแล้ว ไม่ได้กระแดะหรืออะไร ถ้าไปเมืองนอกปีสองปีแล้วกลับมาพูดไทยไม่ชัดค่อยว่าผมกระแดะแล้วกัน :p

(คิดว่าคำว่ากระแดะน่าจะใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนะครับ แต่เห็นคนใช้กับผู้หญิงซะเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับชายแท้บางคนก็สามารถใช้กับคำนี้ได้เหมือนกัน จากพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ: กระแดะ (ปาก) ก. ดัดจริต, ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ (พอลองหาคำว่าดัดจริตต่อ) ดัดจริต ก. แสร้งทํากิริยาหรือวาจาให้เกินควร.)

ก็ไม่ได้เป็นหวัดอะไรมากมาย เป็นแนวหวัดน่ารำคาญมากกว่า มีน้ำมูกไหล และจามบ้างนิดหน่อย สามารถทำงานทำการได้ตามปกติ แต่ต้องคอยเอาทิชชูมาสั่งน้ำมูกบ้างเป็นระยะๆ จามเป็นบางที จนเพื่อนในออฟฟิสต้องบอก Bless you ซะหลายครั้ง ไม่รู้ถ้าจามบ่อยกว่านี้มันจะบอกคำอื่นหรือเปล่า

พอเป็นหวัดแบบเบาๆ ผมจะไม่ค่อยทานยาเท่าไหร่ เพราะยาแก้หวัดส่วนใหญ่ทานแล้วมันจะง่วง ก็เลยเหมารวมไปว่ายาแก้หวัดแทบทุกชนิดทานแล้วง่วง ยาที่ทานแล้วไม่ง่วงก็มี พึ่งรู้จากแม่ว่ายาแก้หวัดที่ทานประจำที่บ้าน ทานแล้วไ่ม่ง่วง แต่ด้วยอุปาทาน ที่ผ่านมาผมจะรู้สึกง่วงทุกครั้งหลังทานยาตัวนั้นทุกที จนพอรู้ว่ามันทานแล้วไม่ง่วงความรู้สึกง่วงหลังทานยาก็หายไปทันที ถ้าให้แปลงคำพูดของไอสไตน์ให้เท่ห์ๆ ก็จะพูดว่า “อุปาทาน (เกือบ) สำคัญกว่าความรู้” ซึ่งหลายๆ คนในสังคมก็เป็นกันเยอะ เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป ที่คนใช้อุปาทานหรือความเชื่อชักนำชีวิต

พอเป็นหวัดเบาๆ แนวทางในการเยียวยาของผมทางหนึ่งก็คือ ดื่มน้ำมาก น้ำเปล่านี่แหละครับดีต่อสุขภาพที่สุด การดื่มน้ำมากๆ นอกจากจะช่วยระบายของเสียแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งโต๊ะนานด้วย เพราะว่าเมื่อทานน้ำมากๆ ก็ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นการยืดเส้นยืดสายไปในตัว นอกจากนั้นยังต้องลุกไปเติมน้ำบ่อยๆ อีกด้วย

อีกแนวทางหนึ่งก็คือ การทานวิตะมินซีเยอะ ทานส้มได้จะดีที่สุดเพราะมีกากอาหารด้วย ทานน้ำส้มก็จะดีรองลงมา อีกวิธีที่พอจะรับได้ก็คือการทานวิตะมินซีเม็ด ระยะหลังนี่ผมทานวิตะมินเม็ดบ่อยขึ้นครับ เนื่องด้วยกลัวว่าอาหารที่กินทุกวันอาจให้วิตะมินซีไม่เพียงพอ (บางทีเป็นอุปาทานเช่นกัน) บทเรียนที่ได้จากการซื้อวิตะมินซีเม็ดก็คือ ต้องเลือกแบบ Chewable ซึ่งจะมีรสชาติชวนทานกว่าเยอะ ตอนแรกซื้อแบบปกติมาแล้วก็เอาอม ปรากฎว่ามีแต่รสเปรี้ยวเหมือนทานกรดเปล่าๆ ต้องกลืนไปเลย พอซื้อแบบ Chewable มาก็ดีขึ้นเยอะอมไปเรื่อยๆ ได้ แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องซื้อวิตะมินของเด็กที่เป็นเยลลี่มากินเพราะอาจหมดเร็วได้
พอดีไปเห็นฉลากวิตะมินซีที่กินอยู่ มันเขียนอะไรแปลกๆ ว่า Acerola C ก็เลยไปค้นดูปรากฎว่า Acerola มันคือเชอรี่ชนิดหนึ่งคล้ายๆ เชอรี่ของไทยที่ลูกเล็กๆ เปรี้ยวๆ (หนอนเยอะๆ) พอไปอ่านส่วนประกอบก็พบว่ามี Rose Hips ซึ่งมันคือลูกของกุหลาบ แปลกดีเหมือนกันครับว่าวิตะมินซีนอกจากที่มาจากการสังเคราะห์แล้ว ก็มาจากพืชที่เราคาดไม่ถึงด้วย





การเป็นหวัดที่แย่ที่สุดคือ มีอาการปวดหัวและเจ็บคอพ่วงมาด้วย แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ การเป็นแผลร้อนในในปากที่เป็นอาการแทรกซ้อนในบางครั้ง



ผมเป็นคนที่เบื่อแผลร้อนในมาก บางทีมันก็เกิดจากท้องผูก นอนดึก เครียด บางที่มันก็เกิดขึ้นดื้อๆ โดยไม่รู้สาเหตุ แต่ที่เจ็บใจมากกว่านั้นก็คือที่เกิดจากการเอาแปรงสีฟันไปกระแทกเหงือก ซึ่งพี่ชายก็เตือนหลายครั้งแล้วว่า แปรงฟันไม่ต้องแปรงแรงก็สะอาดได้ แปรงแรงๆ เหงือกจะ่ร่น แต่เนื่องด้วยการแปรงฟันบางครั้งเกิดความมันส์ในอารมณ์ก็จะถูไปถูมาอย่างเมามัน แต่บางทีก็พลาดเหมือนรถไฟตกราง แปรงหลุดจากฟันไปกระแทกเหงือกจนเป็นแผล

แผลร้อนในเป็นแผลที่ไม่รุนแรง แต่น่ารำคาญ ทานอะไรรสจัดก็ไม่ค่อยได้ แปรงฟันทีน้ำตาก็แทบไหล ผมจึงต้องมียาทาแก้ร้อนในติดตู้เย็นไว้ตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือ พอไปคิดถึงมันเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าแผลมันไม่หายซะที แต่อยู่ดีๆ มันก็หายไปซะเฉยๆ จนผมไม่รู้ตัว

แล้วการเป็นหวัดกับร้อนในมันเกี่ยวอะไรกับความเหงา ...
ได้ยินมาว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดมันอยู่กับร่างกายเราตลอดเวลา พอวันใดที่ร่างกายเราอ่อนแอมันก็จะออกมาสำแดงฤทธิ์เดช เหมือนจะคอยเตือนให้ดูแลร่างกายบ้าง ก่อนที่โรคภัยที่หนักหนาสาหัสกว่านี้จะมาถามหา แผลร้อนในก็เหมือนกัน วันใดที่ร่างการขาดสมดุล มันก็จะโผล่ออกมาให้เรารำคาญเล่น แล้วก็หายไปซะเฉยๆ

ผมว่าความเหงามันก็อยู่ในตัวเราทุกคนเหมือนกัน บางทีมันก็โผล่ออกมาตอนเราเผลอๆ ที่สำคัญมันจะค่อยๆ โผล่ออกมาตอนจิตใจเราอ่อนแอเหมือนโรคหวัดและแผลร้อนในไม่มีผิด หรือบางทีก็เกิดอาการเหงาแบบเฉียบพลันจากความกระทบกระเทือนทางใจ เช่น ทะเลาะกับเพื่อน เลิกกับแฟน จากบ้านมาไกล หรืออกหัก ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากหวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เดินตากฝนทั้งวัน หรือแผลร้อนในที่เกิดจากการเอาแปรงสีฟันกระแทกปาก

ความเหงาก็เหมือนกับไวรัสโรคหวัด ซึ่งเราต้องอยู่กับมันไปเรื่อยๆ รักษาได้ แต่ไม่หายขาด คงต้องดูแลรักษาจิตใจของเราให้แข็งแรงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันใดมันออกอาการออกมา ก็ต้องรักษามันอย่างถูกต้อง
แนวทางการรักษาความเหงา มันก็ต่างกับโรคหวัดและแผลร้อนใน การรักษาความเหงาที่ดีที่สุด คือ การทำตัวให้ไม่เหงา ซึ่งเป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดินจนเลือดออกซิบๆ สำหรับผมก็คือหาอะไรทำ ให้ใจมันวุ่นๆ จนลืมไปเลยว่ากำลังเหงาอยู่ แล้วมันก็จะหายไปเหมือนกับแผลร้อนในซึ่งอยู่ดีๆ ก็หายไปโดยไม่บอกกล่าว เวลาที่เราไม่ใส่ใจมัน

ข้อควรระวังของการรักษาความเหงาก็คือ บางวิธีที่ใช้รักษาความเหงา อาจเกิดผลข้างเคียงไปที่ทำให้ชีวิตเราต้องวุ่นไปอีกหลายปีก็ได้ เพราะจิตใจในช่วงที่เหงาจะอ่อนแอ ทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะ เอ้ย ไม่ใช่ ความสามารถตัดสินใจลดลงได้

ปล. ได้อ่านกระทู้จากพันทิป ห้องหว้ากอ มีคนมาตั้งกระทู้ขอให้ช่วยแนะนำประโยคที่พูดยากๆ ไว้ฝึกพูดเพื่อหัดออกเสียง ก็เลยถามว่ามีประโยคอะไรที่พูดยากๆ บ้าง
ก็มีคนตอบหลายคน เช่น “ทหารถือปืีน แบกปูนไปโบกตึก” “เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด”
แต่ก็มีคนนึงตอบแนวที่มีกลิ่นน้ำเน่าโชยมาว่า ... “ผมรักคุณ”


(เขียนเมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๕๑)

เพราะอะไร

ถ้าคนที่คุณรักถามคุณว่าคุณรักเขาเพราะอะไร? คุณจะตอบว่าอะไร?

ฟังดูก็เป็นคำถามที่ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าจะให้ตอบแยกเป็นส่วนๆ ว่ารักเพราะส่วนนี้ ส่วนนั้น นิสัยแบบนี้ ความคิดแบบนั้น มันก็คงจะตอบให้ครบถ้วนได้ยาก และก็ต้องใช้เหตุผลร้อยพันประการที่จะทำให้คำตอบนั้นสมบูรณ์

มันคงจะแปลกๆ ถ้าผมจะยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับอาหาร หลายครั้งผมคิดว่าเวลากินคอหมูย่าง ที่อร่อยเป็นเพราะคอหมูย่างหรือน้ำจิ้ม อะไรกันแน่ซึ่งเป็นที่มาของความอร่อยนั้น ...
พอผมลองกินคอหมูย่างเปล่าๆ มันก็รสชาติพอได้ แต่ก็เหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป และพอลองทานน้ำจิ้มเปล่าๆ ก็เหมือนรสชาติจะเข้มข้นเกินไป แต่ว่าพอกินทั้งสองอย่างด้วยกัน อย่างที่มันควรจะเป็น รสชาติที่ได้สัมผัสก็ครบถ้วนและอร่อยที่สุด

สำหรับผมขอตอบคำถามข้างต้นด้วยเพลง “เพราะอะไร” แม้ว่าคนถามอาจยังไม่พอใจในคำตอบ แต่ว่าท่อนสุดท้ายของเพลง ก็สามารถสื่อถึงเหตุและผลของคำถามว่า “เพราะอะไร” ได้อย่างงดงาม

เพราะอะไร
ศิลปิน: ป้าง คำร้อง:ประภาส ชลศรานนท์

เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ
ก็อยากจะรู้รักเพราะอะไร
กลับไปคิดไปค้น ใคร่ครวญมากมาย ไม่เจอ...คำตอบ
ที่ผ่านมานั้นไม่คิดอยากรู้ที่มา และไม่เคยหาเหตุผลใด ๆ
แค่เพียงรู้ว่าเป็นสุขใจเมื่อยู่เคียงกัน

อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งทีทำให้คนรักกัน
หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้น เมื่อวันแรกเจอ
หากจะหาเหตุผลสักคำ ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม

อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งทีทำให้คนรักกัน
หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้น เมื่อวันแรกเจอ
หากจะหาเหตุผลสักคำ ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ก็เจอแต่สิ่งดีงาม

ตั้งแต่วันฉันพบเธอ...ได้เจอแต่สิ่งดีงาม

อนุกรมของเหตุการณ์ (Series of Events)

หลายวันที่ผ่านมามีเพื่อนๆ ที่พิตส์เบอร์กเดินทางกลับเมืองไทยหลายคน และหลายๆ คนก็พบกับเหตุการณ์เครื่องบินดีเลย์หรือยกเลิก ผมก็มาเจอกับตัวเองจนได้ในวันนี้ (26 ธ.ค. 50) และขณะนี้ (12.55 pm. ET)

วันนี้มีแผนที่จะเดินทางไปเยี่ยมชิว เพื่อนที่มิชิแกน ก็จองตั๋วของ Northwest รอบ 9.55 น. เพื่อไปที่ดีทรอยต์ ตอนที่เช็คอินก็รู้แค่ว่าเครื่องดีเลย์ พอเข้ามาที่เกตเลยรู้ว่าเครื่องยกเลิก ก็เลยต้องต่อคิวเพื่อจัดไฟลท์ใหม่ ระหว่างนี้ก็เลยโทรไปหาชิวว่า อย่าพึ่งขยับตัว เพราะว่าชิวจะขับรถมารับจาก Lansing

สำหรับผมซึ่งบินตรงไปที่ดีทรอยต์เลยก็คงจะไม่วุ่นวายเท่าไหร่ แต่ว่าคนที่จะต่อเครื่องไปทรานสิตที่อื่นนี่คงวุ่นวายมาก เพราะต้องจัดไฟลท์ใหม่ทั้งหมด ใช้เวลารอคิวนานมากเพราะว่ามีหลายคนที่ต้องต่อเครื่องที่ดีทรอยต์ ระหว่างที่รอมาซักสองสามชั่วโมงก็เลยคิดอะไรเรื่อยๆ เปื่อยๆ

  • แวบแรกที่รู้ว่าต้องคิวรอก็คิดไปว่าเมื่อกี้น่าจะรีบเดินมาที่เกตเลย ไม่น่าแวะรอต่อคิวซื้อขนมปังกับนมที่ Au Pon Pain เลยไม่งั้นคงได้คิวต้นๆ กว่านี้
  • เห็นเกตข้างๆ ซึ่งเป็นเครื่องของ Northwest ที่ไปดีทรอยท์เหมือนกัน แต่ว่าเครื่องออกตอน 8.56 น. กำลัง Boarding อยู่ ก็เลยคิดว่า ตอนนั้นน่าจะจองไฟลท์นี้ ไม่งั้นป่านนี้ก็ได้เดินขึ้นเครื่องไปแล้วเพราะยังไงก็มาทันเวลา ที่ผมจองไฟลท์ 9.55 น. ก็เพราะว่ารู้มาก่อนว่าวันที่ 25 จะมีปาร์ตี้ที่บ้านพี่คิม ซึ่งคาดว่าก็คงจะเลิกดึก เลยคิดว่าจองไฟลท์สายๆ หน่อย น่าจะไม่ต้องทรมาณและเสี่ยงกับการตื่นสาย
  • หลังจากนั้นก็คิดย้อนไปอีกว่ารู้อย่างนี้น่าจะบินเมื่ออาทิตย์ที่แล้วและกลับมาตอนวันที่ 25 ก็ยังทันปาร์ตี้คริสต์มาสเพราะตอบตกลงว่าจะไปนานแล้ว แต่ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วต้องตรวจข้อสอบและกลัวว่าจะไม่ทันก็เลยไม่อยากจองไฟลท์ช่วงนั้น แต่จริงก็ตรวจทันและเสร็จตั้งแต่วันที่ 20
  • หลังจากได้จัดไฟลท์ใหม่แล้วปรากฏว่าได้ไฟลท์ตอน 15.00 น. เพราะว่าไฟลท์ตอนเที่ยงเต็ม ก็เลยคิดย้อนซ้ำไปเหตุการณ์แรกว่า ไม่น่าเลยจริงๆ ที่ไปแวะซื้อขนมปังไม่งั้นป่านนี้อาจได้ไฟลท์รอบเที่ยงไปแล้ว เพราะอาจจะมีที่เหลือถ้าเรามาเร็ว
  • หลังจากนั้นก็โทรบอกชิวว่าเครื่องบินเลื่อนไปตอนบ่ายสาม ระหว่างนั้นชิวบอกว่าดูลิเวอร์พูลอยู่ตอนนี้นำดาร์บี้ซึ่งเป็นทีมท้ายสุดของตารางไปแล้ว 0-1 โดยตอเรส ผมคิดไว้ก่อนว่านัดนี้คงสบายๆ เพราะนัดก่อนชนะในบ้านไปตั้ง 6-0 ตอนแรกที่รู้ว่าต้องบินในช่วงเวลาที่แข่งก็คิดว่าไม่ดูก็ไม่เป็นไร คงชนะสบายๆ ที่ไหนได้ ถ้าไม่ได้ดูคงเสียดาย (แต่ถ้าแลกกับการที่ไฟลท์ไม่ยกเลิกก็ยอมไม่ดูนะ) เพราะว่ากว่าจะได้ประตูชัยก็นาทีที่ 90 จากเจอร์ราด
  • หลังจากดูจบก็คิดไปไกลๆ อีกว่า ถ้าฤดูกาลที่แล้วซื้อตอร์เรส น่าจะชนะมิลานได้ในนัดชิงและคงได้แชมป์ยุโรปไปแล้วเสียดายที่ไม่ได้ซื้อมา

จากเพียงแค่เหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมงที่ผมรอเครื่องบิน ทำให้ผมคิดอะไรหลายๆ อย่างซ้ำซากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว จบไปแล้ว และตัดสินใจไปแล้ว ทั้งที่มันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ได้ และถึงผมจะย้อนไปแก้ไขการตัดสินใจได้ มันก็อาจจะไม่เกิดผลอย่างที่คาดไว้ก็ได้ เพราะว่าก่อนที่ผมจะตัดสินใจในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผมก็คาดหวังกับผลที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งเคยเขียนไว้แล้วในเรื่อง “Structural model สำคัญอย่างไรในการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์”

เพียงแต่เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่บนโลกที่ไม่มีความแน่นอน (Stochastic World) อะไรที่เกิดขึ้นจะมีความแน่นอนที่สุดก็หลังจากที่มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนไปจากที่เราคาดหวังได้ แม้แค่เสี้ยววินาที่ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการเชียร์ลิเวอร์พูลเมื่อกี้นี้ ซึ่งผมคิดว่าเสมอชัวร์ๆ เพราะเล่นกันไม่ดีเลย แต่ว่าก่อนหมดเวลาไม่กี่นาทีก็ชนะไปจนได้

เคยอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เปรียบว่าเรื่องพลาดผิดที่ได้ทำไปแล้วก็เหมือนการทำนมหกลงพื้น เราก็ไม่ควรไปอาลัยอาวรณ์กับมันอีก เพราะมันเอาคืนมาไม่ได้ ที่ผิดพลาดไปก็เหมือนกับเป็นครูสอนให้จำไม่ทำพลาดอีก แต่บางทีสำหรับผมก็มีครูคนใหม่มาสอนวิชาเดิมๆ ซ้ำอยู่เรื่อยเพราะไม่ค่อยจำซักที

(Spoil) หลายวันก่อนได้ดูหนังเรื่อง If Only (2004) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคู่รัก ซึ่งชายหนุ่มก็รักแฟนของตัวเองแต่ก็ยังขาดความเข้าใจ และแล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเสียแฟนสาวไป เขาเสียใจมาก และหลับไปหลังจากได้อ่านไดอารี่ของแฟนซึ่งทำให้เขาเข้าใจเธอมากขึ้น รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเขาตื่นขึ้มในตอนเช้าของเมื่อวันก่อน และหญิงสาวก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อวาน และใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่สามารถควบคุมและแก้ไขเหตุการณ์ได้ แต่วันเวลาแค่วันเดียวก็ทำให้เขาเข้าใจความรักของตัวเองอย่างลึกซึ้งและคลายปมทุกอย่างที่ค้างคาในใจระหว่างกัน

Ian: “I loved you since I met you, but I wouldn't allow myself to truly feel it until today. I was always thinking ahead, making decisions soaked with fear... Today, because of you... what I learned from you; every choice I made was different and my life has completely changed... and I've learned that if you do that, then you're living your life fully... it doesn't matter if you have five minutes or fifty years. Samantha if not for today, if not for you I would never have known love at all... So thank you for being the person who taught me to love... and to be love.”

วันนี้ถ้าสามารถทำอะไรที่ดีกับคนที่คุณรักได้ ทำมันให้ดีที่สุดและรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่คุณมีอยู่

(เขียนเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๐)

ประตูระหว่างสวรรค์กับนรก

หมายเหตุ –
บทความนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลแต่ประการใด ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และ เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบขับถ่ายของร่างกาย

ปัญหาเรื่องการจราจรในกรุงเทพฯ นั้นเป็นปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้อย่างมีสันติ (ในจิตใจ) เป็นเรื่องปกติของเมืองหลวง ซึ่งแทบจะเป็นที่รวมของทุึกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ ธุรกิจ และสถาบันการศึกษา

ในช่วงที่เรียนและทำงานนั้น ชีวิตของผมตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนมีเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ด้วยสภาพการจราจรของกรุงเทพฯ ด้วยเหตุที่บ้านอยู่ชานเมือง ทำให้ต้องตื่นเช้ามาก และเช้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุของผมที่เพิ่มขึ้น เพราะว่ารถติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนที่ไม่อยากเจอรถติดต้องออกมาให้เช้าขึ้น

สถิติล่าสุดของผมก็คือตื่นประมาณ 4.45 น. และออกเดินทางจากบ้านที่อยู่ชานเมืองฝั่งธนบุรี เวลาประมาณ 5.20 น. เพื่อไปที่ทำงานซึ่งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ เวลาที่ใช้เดินทาง ณ ช่วงเวลาดังกล่าวคือประมาณ 30 นาที เพราะว่ารถสามารถใช้ความเร็วได้ดี ไม่มีการหยุดนิ่งยาวๆ ไปถึงแล้วผมก็จะนอนอยู่ในรถ เจ็ดโมงกว่าก็ตื่นไปทานข้าวเช้า ด้วยสภาพที่เสื้อยับยู่ยี่ ผมกระเซิง

บ่นไปมากมายเกี่ยวกับปัญหาการจราจรของกรุงเทพฯ ผมเคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย วันนั้นออกจากบ้านค่อนข้างสาย รถก็เลยติดมาก จากบ้านไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาสองชั่วโมงได้ และเนื่องด้วยออกจากบ้านผิดเวลา มันก็เลยทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายรวนไปหมด (เป็นข้อสันนิษฐานส่วนตัว)

ประมาณ 1 – 2 กม. ก่อนจะถึงมหาวิทยาลัย ผมก็รู้สึกปวดท้องอย่างมาก ไม่ใช่ปวดท้องแบบโรคกระเพาะแต่อย่างใด มันคือ ปวดอุจจาระ ด้วยอัตราเร็วของรถที่น้อยกว่า 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมคิดว่าผมไม่สามารถอดกลั้นไปจนถึงมหาวิทยาลัยได้ ความคิดแวบแรกของผม คือ คงต้องหาปั๊มน้ำมันที่อยู่ระหว่างทางนั่นแหละ

ทว่าปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดก็ดันอยู่เกือบถึงมหาวิทยาลัยแล้ว เวร... แผนสองที่คิดได้ก็ คือ หาร้านเซเว่น แต่ว่าร้านเซเว่นที่ไหนจะปล่อยให้คนเข้าไปใช้ห้องน้ำฟะ หรือจะเป็นบ้านคน ใครที่ไหนจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาอึในบ้านวะเนี่ย ช่วงนี้ความคิดในสมองเริ่มตีกันอย่างหนัก พร้อมกับมือที่สั่น เกร็ง และรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ แม้จะปิดแอร์ไปแล้ว

เมื่อพยายามกลั้นใจคิดหาทางออก ก็คิดว่าทางที่ดีที่สุดคือปั๊มน้ำมันนี่แหละ แต่ว่าคงต้องใ้ช้ความพยายามในการอดกลั้นให้ถึงที่สุด แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าเป็นตอนปวดฉี่มันคงไม่ยากขนาดนี้ ถ้ากลั้นไม่ไหว ในรถก็ยังพอมีขวดน้ำให้ใช้บรรเทาความเสียหายไปได้ หรือถ้าเลวร้ายที่สุดคือฉี่ราดกางเกง ก็คงจะลงทุนไปซื้อน้ำซักขวดแล้วเอามาราดกางเกง (ถ้าจะให้เนียนมากก็ใช้เก๊กฮวย) แล้วบอกเืพื่อนว่าน้ำหก แล้วชวนมันไปซื้อกางเกงที่่มาบุญครอง แต่ถ้าเป็นอึแตกนี่ ไม่อยากจะคิดเลย คงต้องขับรถกลับบ้านสถานเดียว ขืนเดินลงไปหาเพื่อนไม่มีคนคบแน่ๆ ความเสียหายสูงมาก ขับรถมามหาลัยเพื่ออึแตกแล้วขับกลับบ้านเพื่อไปซักกางเกง ... บอกได้คำเดียวว่าซวย

พออีกประมาณ 500 เมตรจะึถึงปั๊มน้ำมัน ก็เริ่มมีอาการหน้ามืด เหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง ไม่ว่าจะพยายามบิดตัวไปมาอย่างไรก็ไม่เป็นผล สภาพผมเหมือนกับจะิสิ้นสติไปแล้ว เรีียกได้ว่าอยู่ขั้นตรีทูต ที่วิญญาณจะออกจากร่าง จากนั้นผมก็เริ่มมองเห็นภาพของกรรมที่เคยทำไว้เมื่อครั้งอดีต ภาพตอนสมัยประถมที่ล้อเพื่อนที่อึราดกางเกงก็โผล่ขึ้นมา นอกจากจะล้อแล้วยังไปบอกครูอีก ทำไม่เราเป็นคนเลวได้ขนาดนี้วะเนี่ย อีกเรื่องก็คือไปล้อเพื่ิอนที่อึราดขณะทำกิจกรรมกันอยู่ที่โรงเรียนตอนมัธยม ซึ่งมันนั่งอยู่ข้างหน้าผมพอดีและผมก็เห็นเหตุการณ์ตอนมันลุกขึ้นวิ่งไปห้องน้ำได้อย่างชัดเจน พร้อมหลักฐานที่กองอยูตรงหน้า .... ตอนนี้เหมือนประตูนรกกำลังจะเปิดเพื่อต้อนรับผมแล้ว เหมือนในสมัยพุทธกาลที่มีคนฆ่าหมูชื่อนาย จุนทสูกริก ซึ่งนิยมฆ่าหมูด้วยวิธีทรมาน เมื่อตอนก่อนจะตายก็ร้องครวญครางเหมือนหมูที่ตัวเองฆ่าไม่มีผิด

เพื่อน ... กูขอโทษมึงว่ะ กูรู้แล้วว่าการกลั้นอึจนถึงที่สุดมันทรมาณอย่างไร กูไม่น่าไปล้อมึงเลย เหมือนว่าเจ้ากรรมนายเวรจะยอมรับคำขอโทษจากผม ก่อนที่สติของผมจะหลุดลอยไปนั้น ผมก็ขับมาถึงทางเข้าปั๊มน้ำมันพอดี ทว่าปั๊มน้ำมันก็ไม่มีที่จอด ... เวร ก็เลยขับไปจอดตรงตู้จ่ายแล้วบอกว่าเต็มถังเลย ทั้งที่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมีเงินเท่าไหร่ในกระเป๋า แต่ทำไงได้ไม่มีเวลาคิดแล้ว หลังจากนั้นก็คว้าทิชชู่แล้ววิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนั้นอย่าให้สะดุดหรือชนอะไรซักอย่างนะ มีเฮแน่ๆ ทำให้ผมได้รู้ซึ้งในตอนนั้นว่า ชีวิตของคนเราบางช่วงมันเปราะบางจริง ... อืมมม

นับว่าโชคชะตาไม่โหดร้ายกับผมจนเกินไป ยังมีห้องน้ำว่างอยู่ ตอนนั้นไม่ได้ดูเลยว่าห้องน้ำสกปรกมากขนาดไหน ... ภารกิจจบลงอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่ผมก้าวขาออกมาจากห้องน้ำนั้นเหมือนออกจากนรกมาสู่สวรรค์ก็ไม่ปาน ท้องฟ้าดูสดใส อากาศสดชื่นแม้ว่าจะอยู่ในปั๊มน้ำมัน รู้ซึ้งได้ทันทีว่าทำไมจึงเีรียกห้องน้ำว่า “สุขา” ประตูสุขาเป็นประตูที่กั้นระหว่างสวรรค์กับนรกจริงๆ

ขอบคุณ
  • การจราจรของกรุงเทพฯ ที่ทำให้ผมได้สัมผัสอีกแง่มุมของชีวิตที่หวังว่าจะไม่เจออีก
  • ปั๊มน้ำมันบนถนนพระรามที่ 4 ก่อนถึงสามย่าน เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่าย (ทำ)

Quote of the day
“ถ้าอยู่ดีๆ คุณรู้สึกตัวว่าอยู่ในห้องที่เป็นสีแดงทั้งห้อง ไม่ต้องตกใจหรอก มันคือหัวใจของผมเอง” (นำมาจากโพสต์หนึ่งในห้องหว้ากอ พันทิป)


(เขียนเมื่อ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๐)

พิธีกรรม หรือ คำสอน

ช่วงหลายอาิทิตย์ที่ผ่านมาได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายข่าว แต่ข่าวที่ทำใ้ห้ผมเศร้าใจมากที่สุดก็คือ การมรณภาพของหลวงพ่อปัญญา แ้ม้ผมจะไม่ได้ศึกษาคำสอนของท่านอย่างจริงจัง แต่ก็พอที่จะได้อ่านหนังสือและฟังที่่่ท่านเทศน์บ้าง ท่านเป็นพระที่ทำเพื่อพระพุทธศาสนามาตลอดอายุของท่าน

เมื่อต้นปีก็ได้ดูรายการค้นค้นคน ซึ่งก็นำชีวิตของหลวงพ่อปัญญามานำเสนอ ท่านแม้จะมีอายุถึง 96 ปี แต่ท่านก็ยังทำกิจของสงฆ์ที่เป็นประโยชน์เท่าที่สุขภาพของท่านจะอำนวย เรียกว่าท่านมีเวลาเมื่อไหร่ก็จะต้องทำภารกิจที่สำคัญคือ ทำให้คนไทยหาย “โง่” โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาพระพุทธศาสนา

เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อปัญญา พระสงฆ์อีกรูปที่พยายามตลอดชีวิตของท่านในการสั่งสอนให้คนพ้นจากความโง่เขลาก็คือ ท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งผมได้ดูคลิป “เมื่อพุทธทาสคืนสู่ธรรมชาติ” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บ http://www.buddhadasa.in.th/ (ในเวบนี้มีคำสอนของท่านให้ดาวน์โหลดด้วย) ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านได้ทำพินัยกรรมให้จัดงานศพของท่านอย่างเรียบง่ายที่สุด เพื่อสั่งสอนทุกๆ คนถึงสัจธรรมของชีวิต เรื่องความตาย และให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างเพียงพอและเรียบง่าย งานศพของท่านก็เป็นเพียงการเผาศพบนตะแกรงเหล็ก ไม่มีพิธีรีตองที่วุ่นวาย เป็นการกลับไปสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง

ในช่วงปี 2536-2537 เป็นช่วงที่ฟองสบู่ของเศรษฐกิจไทยพองโตถึงขีดสุด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงที่สุดที่ 1,600 กว่าจุด (ในปัจจุบันดัชนีก็อยู่ประมาณ 800 กว่าจุด) เป็นช่วงที่ไม่ว่าจะทำอะไร ขายอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด คำสอนของท่านที่ให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเรียบง่าย ก็คงเป็นคำสอนเบาๆ ที่ผ่านหูผู้คนไป จนคนบางส่วนเริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า “พอเพียง” จนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และฟองสบู่ที่พองโตนั้นแตกเมื่อปี 2540 นั่นเอง

ทั้งท่านพุทธทาสและหลวงพ่อปัญญา ซึ่งทั้งสองเป็นสหายธรรมในการเผยแผ่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ให้คนพ้นจากความโง่เขลา ท่านทั้งสองสอนคนให้รู้จักการศึกษาทางจิตซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่สอนให้คนเชื่อถือทางไสยศาสตร์เพราะว่ามันไม่ใช่แนวทางแห่งการดับทุกข์

จากการที่ได้ศึกษาประวัติของท่านพุทธทาส ท่านเป็นคนที่กล้าหาญในการที่สั่งสอนให้คนรู้ถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เนื่องจากไม่ได้มีการสอนมาในอดีต เพราะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งในการอธิบายให้คนทั่วไปได้เข้าใจ การสอนที่รูปแบบที่แตกต่างจากพระรูปอื่นของท่าน ทำให้ครั้งหนึ่งท่านโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งข้อหาดังกล่าวก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำลายบุคคลดีๆ ไปหลายท่าน

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสะท้อนใจเมื่อได้อ่านประวัติของท่านพระพุทธทาสก็คือ ท่านได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม ในกรุงเทพฯ (เมื่อประมาณ 70-80 ปีก่อน) ซึ่งทำให้ท่่านถึงกับท้อแท้ใจในการเป็นพระสงฆ์เพราะว่าเหล่าสงฆ์ในกรุงเทพฯ ต่างยึดติดอยู่ในลาภยศสรรเสริญ ทำให้ท่านตัดสินใจกลับบ้านและศึกษาหลักคำสอนจากพระไตรปิฎกด้วนตนเอง เพื่อค้นหาหลักธรรมที่แท้จริงจากพระโอถฐ์ของพระพุทธเจ้า

(ข้อความต่อจากนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ได้ใช้หลักคำสอนบางอย่างมาใช้แก้ปัญหาชีวิตในยามทุกข์)
แม้ว่าในประเทศไทยจะมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ทำไมจึงได้มีปรากฎการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้ใช้หลักการทางพุทธศาสนา ในการแ้ก้ปัญหาชีวิตเลย อย่างเช่น การนับถือเทพ (ซึ่งแท้จริงคือแนวคิดของศาสนาพราหมณ์) การงมงายในสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ ทุกอย่างสามารถอธิบายได้โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การนับถือฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า กล้วยสองเครือ หมาสองหัว มันเป็นเรื่องของมนุษย์ในยุคก่อนการกำเนิดของศาสนาเสียด้วยซ้ำ

เป็นไปได้ไหมว่าการที่คนไทยนับถือพุทธอย่างพวกเรา ไม่ได้รับการสั่งสอนให้เข้าถึงหลักการทางพุทธศาสนาอย่างแท้จริง การสอนพุทธศาสนาในโรงเรียนที่ผมประสบมาก็คือ การให้สวดมนต์ให้ได้ ท่องศีล จำให้ได้ว่ามรรคแปดมีอะไรบ้าง แม้แต่การสอนของพระก็ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดที่ลึกซึ้งให้คนสามารถเข้าถึงกระบวนการทำงานของจิตใจ กระบวนการที่ทำให้เกิดทุกข์

กิจกรรมที่มีกับวัดส่วนใหญ่จึงอยู่ในรูปแบบของพิธีกรรม ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนาพราหมณ์ จริงอยู่การที่มีพิธีกรรมที่น่าเชื่อถือน่าเกรงขาม สามารถที่จะดึงคนทั่วๆ ไป (รวมถึงผม) ที่มีจิตใจอ่อนแอ และมีแนวโน้มที่จะนับถือสิ่งเหนือธรรมชาิติ ให้เข้ามาอยู่ในร่มเงาของศาสนาพุทธซึ่งมีคำสอนที่มีประโยชน์ และดับทุกข์ได้

แต่พอเวลาผ่านไปเหมือนกับว่าพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้มีบทบาทเหนือและบดบัง คำสอนในศาสนาพุทธไปจนหมด ศาสนาพุทธกลายเป็นเหมือนยาแก้ปวด ถ้าปวดหัวเมื่อไหร่ก็กินยา มีปัญหาเมื่อไหร่ก็ไปวัดไปทำบุญ ไปคุยกับพระ มีทุกข์มากๆ ก็ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้แก้ปัญหาชีวิตได้ แต่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา เสมือนกับการสอนให้รักษาสุขภาพ รู้จักติดตามดูแลอาการของร่างกาย ทำให้เราสามารถดูแลรักษาจิตได้ด้วยตัวเอง ยาแก้ปวดหัวก็เป็นส่วนที่สำคัญในการรักษา แต่มันเป็นสิ่งที่กดอาการปวดเท่านั้นเอง มันไม่ได้ไปรักษาต้นเหตุของการปวดหัวนั้น

เมื่อสิ่งยึดเหนี่ยวใจของพุทธศาสนิกชนไม่ใช่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า บทบาทของพิธีกรรม เทพเจ้า และไสยศาสตร์ ก็มีมากขึ้น จากพิธีกรรมที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้คนหันมาเข้าหาศาสนา กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาติหาริย์ ท่านออกบวชค้นหาความจริงเพื่อนำมาสั่งสอนให้คนหลุดพ้นจากการยึดติดสิ่งเหล่านี้ แต่พระสงฆ์ บางส่วนกลับสั่งสอนให้คนหันไปยึุดติดกับเรื่องไสยศาสตร์แทน เหมือนย้อนกลับไปสู่ยุคหินอีกครั้ง

จริงอยู่หลักธรรมของพระพุทธศาสนานั้นลึกซึ้ง ยากแก่การอธิบาย และอาจมีพระสงฆ์ไม่มากที่สามารถกลั่นกรองและถ่ายทอดให้คนเข้าใจได้ แต่พระสงฆ์บางส่วนที่ไม่สามารถทำให้คน “ฉลาด” ขึ้น ก็ไม่ควรทำให้คน “โง่” ลง ด้วยการสอนสิ่งที่ขัดกับหลักพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังอาศัยความอ่อนแอทางจิตใจของคนมาเป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก ท่านปัญญาฯ ได้สอนว่า พระบางส่วนทำให้คนโง่ลงด้วยการปลุกเสกพระเครื่อง ใบ้หวย ไม่ควรไปนับถือ (หลังจากที่ท่านมรณภาพก็มีข่าวที่ผมฟังแล้วสลดใจก็คือ มีคนหาซื้อหวยเลขท้ายอายุของท่าน และก็มีสื่อเลวๆ นำมา่ถ่ายทอด ทั้งที่ท่านปัญญาฯ ท่านต่อต้านการใบ้หวยมาตลอด)

จากความรู้สึกส่วนตัวของผม เราเหมือนจะนับถือศาสนาพราหมณ์มากกว่าพุทธศาสนาเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างอาศัยพิธีกรรม เพื่อสร้างความศรัทธาให้กับคน จริงอยู่ที่พิธีกรรมสามารถนำคนหมู่มากมารวมกันได้เพื่อเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง การใช้คำว่า “บุญ” หรือ “บาป” มาชักจูงคนก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่มันไม่ได้เ็ป็นการพัฒนากลไกความคิดในการแก้ปัญหาเพื่อการพ้นทุกข์เลย พิธีกรรมมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่หลักการสูงสุดของพุทธศาสนา เมื่อคนเข้าใจพุทธศาสนาเขาก็จะเลือกทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศลไปโดยอัตโนมัติ

ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับที่เขียนมาหรือเปล่า แต่ในความคิดของผม “การปกครองคนโง่ย่อมง่ายกว่าการปกครองคนฉลาด”

ปล. อีกข่าวที่ทำให้ผมสลดใจก็คือการประท้วงของพระต่อภาพวาด “ภิกษุสันดานกา” ซึ่งก็มองกันได้หลายมุม แต่มุึมของผมคือ “ถ้าเราส่องกระจกแล้ว เราไม่หล่อ เราควรโทษตัวเองหรือกระจก” และก็ีมีความคิดเห็นขำๆ จากข่าวก็คือ พวกกาควรจะไปประท้้วงบ้างเพราะว่าเป็นการดูหมิ่นกาอย่างมากในการเอาไปเปรียบเทียบกับพระเลวๆ

(เขียนเมื่อ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๒)